คณะกรรมาธิการการค้าของสหรัฐฯ (The Federal Trade Commission หรือ FTC) แถลงเมื่อเช้าวันที่ 24 กรกฎาคม 2014 ว่า เฟสบุ๊ก ตกลงที่จะยอมความในข้อกล่าวหาเรื่องปล่อยข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ให้รั่วไหลโดยไม่มีการควบคุมที่ดีเพียงพอ โดยยอมจ่ายค่าปรับจำนวนสูงถึง 5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งข่าวระบุว่าเป็นค่าปรับที่สูงที่สุด ที่ FTC เคยสั่งปรับบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยี

โดยสถิติค่าปรับสูงสุดที่ FTC เคยสั่งปรับบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยี คือการสั่งปรับ กูเกิล ในปี 2012 จากข้อกล่าวหาเดียวกัน เป็นเงินจำนวน 22.5 พันล้านดอลลาร์


ทั้งนี้ ค่าปรับ 5 พันล้านดอลลาร์นั้น ข่าวระบุว่าเทียบเท่ากับรายได้ราว 9 เปอร์เซ็นต์ของเฟสบุ๊กเมื่อปีที่แล้ว

ข่าวบอกด้วยว่า นอกเหนือจากยินยอมจ่ายค่าปรับแล้ว เฟสบุ๊กยังยินยอมตามข้อเรียกร้องของ FTC อีกสองข้อ หนึ่งคือการจัดตั้งคณะกรรมการชุดพิเศษ ขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงาน และนโยบายของเจ้าหน้าที่ระดับบริหารของเฟสบุ๊ก รวมถึง นายมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ประธานบริษัท และผู้ก่อตั้งเฟสบุ๊กด้วย โดยคณะกรรมการตรวจสอบชุดนี้จะทำงานเป็นอิสระ และสองคือมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก จะต้องยื่นรายงานสรุปผลการทำงานทุกสามเดือน เพื่อพิสูจน์ว่าเฟสบุ๊กได้ทำตามข้อตกลงเรื่องการรักษาข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งาน อีกด้วย

ทั้งนี้ ค่าปรับและมาตรการต่างๆ ของ FTC ที่มีต่อเฟสบุ๊กนั้น ถูกประกาศออกมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก่อนที่จะมีข่าวล่าสุดในวันนี้ว่าเฟสบุ๊กยินยอมตามเงื่อนไขทั้งหมดของ FTC

โดยการสอบสวนทั้งหมด เริ่มต้นจากข้อกล่าวหาว่าเฟสบุ๊กได้แบ่งปันข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งานจำนวนประมาณ 87 ล้านคนให้กับบริษัทแคมบริดจ์ อนาลิติกา ซึ่งเป็นบริษัทวิเคราะห์ข้อมูลการเมืองของอังกฤษ และข้อมูลดังกล่าว ถูกนำไปใช้ประโยชน์ในช่วงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2017 ซึ่งเป็นการแข่งขันกันระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน และนางฮิลลารี คลินตัน จากพรรคเดโมแครต

ขณะเดียวกัน คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ (the U.S. Securities and Exchange Commission หรือ SEC) มีกำหนดจะแถลงข่าวในวันเดียวกันว่า เฟสบุ๊กยินยอมจ่ายเงิน 100 ล้านดอลลาร์เพื่อยุติคดีฟ้องร้องว่าทางบริษัท “ล้มเหลว” ในการเปิดเผยความเสี่ยงให้นักลงทุนได้รับทราบเรื่องการรั่วไหลของข้อมูลที่เกิดขึ้นด้วย.
.
.