อัยการจาก 16 รัฐในสหรัฐ รวมถึงแคลิฟอร์เนียได้ร่วมกันยื่นฟ้องประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ หลังจากปธน.ทรัมป์ประกาศภาวะฉุกเฉินแห่งชาติเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เพื่อหางบประมาณสร้างกำแพงกั้นระหว่างสหรัฐกับเม็กซิโก

การฟ้องร้องดังกล่าวนำโดยนายฮาเวียร์ เบเซอร์รา อัยการสูงสุดประจำรัฐแคลิฟอร์เนีย และได้ยื่นฟ้องต่อศาลแขวงสหรัฐของรัฐแคลิฟอร์เนียในซานฟรานซิสโก โดยมีอัยการจากรัฐอื่นๆ เข้าร่วมได้แก่ โคโลราโด คอนเนตทิกัต เดลาแวร์ ฮาวาย อิลลินอยส์ เมน แมรี่แลนด์ มิชิแกนมินนิโซตา เนวาดา นิวเจอร์ซีย์ นิวเม็กซิโก นิวยอร์ก โอเรกอน และเวอร์จิเนีย

“ในวันรำลึกถึงประธานาธิบดีสหรัฐฯ (President day) เราฟ้องประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ต่อศาลเพื่อยับยั้งการใช้อำนาจประธานาธิบดีในทางที่ผิด” ฮาร์เวียร์ เบเซอร์รา กล่าว

นายเบเซอร์ราระบุในแถลงการณ์ว่า การประกาศภาวะฉุกเฉินและการโยกย้ายเงินงบประมาณของปธน.ทรัมป์นั้น เป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญและรัฐต่างๆ ได้ร่วมกันพยายามที่จะสกัดกั้นการประกาศภาวะฉุกเฉินของรัฐบาลปธน.ทรัมป์ การสร้างกำแพงกั้นชายแดนโดยไม่ได้รับอนุญาต และการโยกย้ายงบประมาณที่จัดสรรโดยสภาคองเกรส

วันเดียวกัน กลุ่มนักเคลื่อนไหวในกรุงวอชิงตัน นิวยอร์ค ชิคาโก และอีกหลายสิบเมืองในสหรัฐ ได้เข้าร่วมการชุมนุมที่บริเวณหน้าทำเนียบขาว เพื่อประท้วงต่อการประกาศภาวะฉุกเฉินของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อออกกฎหมายอนุมัติงบประมาณสร้างกำแพงกั้นแนวชายแดนที่ติดกับเม็กซิโก โดยไม่ต้องผ่านการรับรองจากสภาคองเกรส

ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์ได้ลงนามในประกาศภาวะฉุกเฉินแห่งชาติเมื่อวันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2019 โดยระบุว่า สหรัฐเผชิญกับการบุกรุกของนักค้ายาเสพติด และนักค้ามนุษย์ รวมทั้งคลื่นผู้อพยพจำนวนมากที่ต้องการหลบหนีเข้ามาในสหรัฐ ทำให้สหรัฐมีความจำเป็นต้องสร้างกำแพงเพื่อสกัดกั้นคนเหล่านี้ “กำแพงได้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์” ทรัมป์ ประกาศ

ทั้งนี้ การประกาศภาวะฉุกเฉินแห่งชาติ เป็นขั้นตอนปฏิบัติของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในกรณีที่ต้องการงบประมาณของรัฐบาลกลาง รวมถึงดึงเงินงบประมาณของหน่วยงานอื่นๆ ไปใช้แก้ไขวิกฤติการณ์ร้ายแรงต่างๆ เช่นกรณีวิกฤติตัวประกันอิหร่าน (The Iran hostage crisis) ที่นักการเมืองและชาวอเมริกัน 52 คนถูกจับเป็นตัวประกันในอิหร่าน 444 วันเมื่อปี 1979 หรือหลังเกิดวินาศฎรรมนิวยอร์ค 11 กันยายน 2001 แต่ประธานาธิบดีทรัมป์นำมาใช้เป็นเครื่องมื่อเพื่อให้ได้งบประมาณมาสร้างกำแพงกั้นพรมแดนสหรัฐฯ และแม็กซิโก อ้างว่าเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติด จึงทำให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจากทุกฝ่าย รวมถึงนักการเมืองรีพับลิกันบางส่วนด้วย

ฮาเวียร์ เบเซอร์รา อัยการสูงสุดประจำรัฐแคลิฟอร์เนีย เรียกการกระทำของประธานาธิบดีทรัมป์ว่า “โง่เง่า” ขณะที่ผู้ว่าการรัฐ เดวิน นิวซัม เรียกโครงการสร้างกำแพงของประธานาธิบดีทรัมป์ว่าเป็น vanity project (โครงการฟุ้งเฟ้อ-ไร้สาระ) และจะเป็นอนุสาวรีย์แห่งความโง่เขลาของประธานาธิบดีทรัมป์เอง

ก่อนหน้านั้น คณะกรรมการตุลาการของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ก็ได้ประกาศว่าจะเปิดการสอบสวนว่า การประกาศภาวะฉุกเฉินแห่งชาติ ของประธานาธิบดีทรัมป์ เพื่อดึงเงินงบประมาณของรัฐบาลกลางไปใช้ในการสร้างกำแพงกั้นสหรัฐ-เม็กซิโก นั้น ป็นพฤติกรรมที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฏหมายของสหรัฐ หรือไม่.

อย่างไรก็ตาม การประกาศภาวะฉุกเฉินแห่งชาติแบบปลอมๆ ครั้งนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ก็ทราบดีว่าจะถูกขัดขวางโดยกระบวนการทางกฎหมาย โดยเขาพูดในระหว่างการแถลงข่าวก่อนที่จะลงนามว่าอำนาจของเขาจะถูกฟ้องร้องในชั้นศาล และว่าเขาจะพ่ายแพ้ในระดับศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ แต่หวังว่าจะชนะในชั้นศาลสูง ซึ่งเป็นกระบวนการที่ใช้เวลายาวนานหลายปี.