เชื่อว่าพวกเราในแคลิฟอร์เนีย คงเคยเห็นซูเปอร์มาร์เก็ตชื่อ Amazon Fresh กันบ้างแล้ว และเข้าใจตรงกันว่านั่นคือความพยายามของ อเมซอน ยักษ์ใหญ่ของธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ ในการรุกเข้ามาในธุรกิจร้านโกรเซอรี โดยใช้เทคโนโลยีล้ำหน้า ให้สมาชิกสามารถเข็นสินค้าที่หยิบใส่รถเข็นออกมาได้โดยไม่ต้องเสียเวลาจ่ายเงิน (กับแคชเชียร์) ขณะเดียวกันก็จะใช้ซูเปอร์มาร์เก็ต อเมซอน เฟรช เป็นแหล่งกระจายสินค้าสำหรับที่รวดเร็ว สำหรับลูกค้าที่สั่งซื้อสินค้าโกรเซอรี่ผ่านเว็บอเมซอนด้วย
แต่ที่เชื่อว่าพวกเราหลายคนยังไม่รู้ก็คือว่า นอกจากจะพยายามแย่งส่วนแบ่งตลาดโกรเซอรี่จากซูเปอร์มาร์เก็ตใหญ่ๆ แล้ว อเมซอน ยังมี Amazon Go สำหรับแชร์ส่วนแบ่งร้านสะดวกซื้อขนาดเล็ก ที่ครองตลาดโดย 7-Eleven ด้วย
โดยจุดเด่นที่ Amazon Go ใช้สู้กับ 7-Eleven คือความเป็นร้านสะดวกซื้อที่ “สะดวก” จริงๆ จากการใช้เทคโนโลยีแบบเดียวกับ Amazon Fresh คือจะมีเครื่องสแกนเนอร์อยู่บนเพดาน ดังนั้นลูกค้าจึงสามารถเข้าไปหยิบขนมนมเนย น้ำดื่ม หรือสินค้าต่างๆ แล้วเดินออกมาได้เลย
ข้อมูลบอกว่า ณ วันที่ 9 กันยายน 2022 มี Amazon Go ทั้งหมด 27 สาขาใน 4 รัฐ คือนิวยอร์ก (10 สาขา), วอชิงตัน (8 สาขา), อิลลินอยส์ (5 สาขา) และแคลิฟอร์เนีย (4 สาขา) โดยในส่วนของแคลิฟอร์เนียนั้น ส่วนใหญ่ คือ 3 สาขาอยู่ในซานฟรานซิสโก และอีกสาขาที่เหลืออยู่ในเมืองวิทเทียร์ ไม่ไกลจากแอลเอ เท่าไหร่นัก
เทคโนโลยีอำนวยความสะดวก ซึ่งอเมซอนเรียกแบบง่ายๆ ว่า “Just walk out technology” นี้ คือการใช้กล้องติดตั้งบนเพดานทั่วร้าน โดยกล้องเหล่านี้จะทำหน้าที่สแกนสินค้าทุกชิ้นที่ลูกค้าหยิบใส่ตระกร้า และคิดเงินกับบัตรเครดิตที่ลูกค้าสแกนเอาไว้ ตอนเดินออกจากร้านไปแล้ว
นอกจากบัตรเครดิตแล้ว อเมซอน ยังมีระบบจ่ายเงินผ่าน อเมซอน แอพ หรือจะใช้ระบบจ่ายเงินแบบสแกนฝ่ามือ ที่เรียกว่า Amazon one ก็รวดเร็วมาก โดยการคิดเงินนั้น มาจากการประเมินผลแบบที่อเมซอนเรียกว่า deep learning ไม่มีการสับสน แม้ว่าลูกค้าจะหยิบสินค้าเข้าๆ ออกๆ ก็ตาม
ส่วนใบเสร็จรับเงินนั้น จะถูกส่งให้คุณทางอีเมล์หลังจากที่คุณเดินออกจากร้านแล้ว
ในกรณีที่เกิดความผิดพลาด ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ เช่นเครื่องเกิดสแกนสินค้าผิดชิ้น จะถูกกว่าหรือแพงกว่าชิ้นที่เราหยิบใส่ตะกร้าก็ตาม คุณผู้อ่านที่เป็นลูกค้าของ อเมซอนดอทคอม คงทราบดีว่ามัน “โคตรง่าย” เลยในการขอ “รีฟันด์” หรือขอเงินคืนจากอเมซอน
นอกจากเทคโนโลยีล้ำยุคแล้ว จุดต่างระหว่าง Amazon Go และ 7-Eleven ก็คือสินค้าที่วางจำหน่ายในร้าน โดยอเมซอน บอกชัดเจนว่านอกจากบรรดาของกินเล่น (snacks) แบรนด์ดังๆ ทั่วไปแล้ว อเมซอนจะเน้นขายสินค้าที่ผลิตในท้องถิ่น แบบที่เรียกว่า local brand หรือ area brand ด้วย
ไม่แปลกที่ในร้าน Amazon Go ในเมืองวิทเทียร์ จะมีเบียร์และไวน์ของแคลิฟอร์เนียวางโชว์อยู่หลายยี่ห้อ รวมถึงไวน์แบรนด์เคอร์ซีฟ (Cursive) ซึ่งเป็นเฮาส์แบรนด์ของอเมซอนเองด้วย
แต่ที่ถือว่าเป็น “หมัดเด็ด” ของ Amazon Go ที่เรามองว่าสามารถ “ตีแตก” 7-Eleven ได้ในอนาคต คือที่เคาน์เตอร์เครื่องดื่มแบบบริการตัวเอง ที่นอกจากจะมีเครื่องดื่มร้อน-เย็นทั่วไปแล้ว ยังมีชาหมักที่เรียกว่า Kombucha รวมถึงมีโยเกิร์ตแบรนด์พิงค์เบอร์รี่ (Pinkberry) ที่คนรุ่นใหม่คลั่งไคล้ด้วย โดยขายในราคาเพียงออร์เดอร์ละ 5 ดอลลาร์ (รวมท็อปปิ้ง) เท่านั้น
และจุดแตกต่างที่สำคัญที่สุด คือ “อาหาร” ที่พวกเราจำนวนไม่น้อย ฝากท้องกับร้านจำพวกนี้ ทั้งมื้อเช้าและมื้อเที่ยง ทั้งอาหารจำพวกไส้กรอก-ไก่ทอด ฯลฯ ซึ่งที่ 7-Eleven จะวางรอคนซื้ออยู่บนลูกกลิ้งร้อนๆ ขณะที่แซนด์วิชประเภทต่างๆ จะถูกห่อพลาสติกเรียบร้อยในตู้เย็น
แต่ที่ Amazon Go นั้น ลูกค้าสามารถกดสั่งอาหารจากเมนูทั้งมื้อเช้าและมื้อเที่ยงได้มากกว่า 30 ชนิด เป็นอาหารที่ทำใหม่เดี๋ยวนั้น ทั้งแซนด์วิช, สลัด, เบอร์ริโต้, ขนมปังอะโวคาโด้ (avocado toast) ซึ่งอร่อยมาก แถมการสั่งอาหารแบบนี้ เราสามารถ customizable หรือเลือกที่จะใส่หรือไม่ใส่อะไรได้ตามใจเราอีกด้วย...
สำหรับคนไทยวัย “ผู้ใหญ่” ทั่วไปนั้น ต้องยอมรับว่าบางส่วนค่อนข้างตามเทคโนโลยีไม่ทัน ดังนั้นหากจะให้เข้าไปซื้อของในร้านที่ต้องบริการตัวเองทั้งหมด โดยใช้เทคโนโลยีที่ไม่คุ้นเคย ก็อาจจะลังเล หรือถึงขั้น “ไม่กล้า” ไปเลย
พวกเรากลุ่มนี้คงจะสบายใจขึ้น หากทราบว่าภายในร้าน Amazon Go นั้น ยังมีพนักงานทำงานอยู่ ทั้งพนักงานต้อนรับที่ประตูและพนักงานจัดสินค้าใส่ชั้นวาง ซึ่งพนักงานเหล่านี้สามารถตอบคำถาม แนะนำสินค้า หรือช่วยเหลือหากพวกเราเกิดปัญหาได้...
จากสิ่งที่เราพบเห็นมานี้ บอกได้ว่า Amazon Go มี “หมัดเด็ด” ที่สามารถพิชิตแชมป์เก่าอย่าง 7-Eleven ได้ไม่ยาก แต่เมื่อเทียบกับจำนวนร้าน ที่ 7-Eleven มีอยู่แทบมุมถนนกว่า 12,687 สาขาทั่วประเทศ (ตัวเลขปี 2021) กับ 27 สาขาของ Amazon Go ในสี่รัฐ ก็เห็นได้ว่าคงจะต้องใช้เวลาอีกนานมากกกก กว่าที่ 7-Eleven จะเริ่มรู้สึกว่าถูกคุกคาม
กับหัวเรื่องที่จั่วเอาไว้ว่า “Amazon Go จะทำ 7-Eleven หนาวได้ไหม” นั้น เรายังไม่ขอตอบ แต่อยากให้คุณผู้อ่านหาโอกาสแวะเวียนไปทดลองใช้บริการดูกันเอง
แล้วอย่าลืมเล่าประสบการณ์ที่ได้รับให้เราฟังกันด้วย...