ข่าวคนไทยในอเมริกา
รายงานหน้าหนึ่ง : “จีนา แฮสเปล” ว่าที่ ผอ.ซีไอเอ สายโหด


จีน่า แฮสเปล




ช่วงนี้ สื่ออเมริกันทุกสำนักพูดถึง “ไทยแลนด์” แทบทั้งวัน เพราะเกี่ยวข้องอยู่กับการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศแต่งตั้ง “จีน่า แฮสเปล” วัย 61 ปี ขึ้นมาเป็นผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองสหรัฐฯ หรือ ซีไอเอ แทน นายไมค์ ปอมเปโอ ที่ขึ้นรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ แทนนายเร็กซ์ ทิลเลอร์สัน ที่ถูกประธานาธิบดีทรัมป์ สั่งปลดออกจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 13 มีนาคม


จีน่า แฮสเปล ถูกกระแสคัดค้านหนักมากจากวุฒิสมาชิกสายเดโมแครต และกลุ่มเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษย์ต่างๆ เพราะในอดีต เธอเคยเป็นผู้บริหารดูแล “คุกลับ” ที่อเมริกาแอบตั้งขึ้นในเมืองไทยสำหรับใช้ทรมานนักโทษ โดยเฉพาะผู้ที่เป็นสมาชิกของกลุ่มก่อการร้ายอัลไคด้า

ประเด็นคุกลับในต่างประเทศ รวมถึงประเทศไทยของซีไอเอ เคยเป็นข่าวใหญ่เมื่อเดือนมีนาคม 2009  หลังจากที่ นายอีริก โฮลเดอร์ อัยการของสหรัฐฯ ออกมาแถลงว่า ซีไอเอ ในสมัยของประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช ได้ตั้งคุกลับในเมืองไทย เพื่อใช้ในการสอบปากคำผู้ต้องหาคดีก่อการร้ายด้วยวิธีทรมานก่อนที่จะนำตัวไปขึ้นศาลที่นิวยอร์ค เป็นการตอกย้ำข้อมูลที่วอชิงตันโพสต์ ได้เผยแพร่ก่อนหน้านั้นว่า ซีไอเอ ได้ตั้งคุกลับสำหรับสอบปากคำโดยวิธีทรมานนักโทษที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของอเมริกาในแปดประเทศ โดยในส่วนของเมืองไทยนั้น ซีไอเอ ใช้เป็นที่สอบปากคำผู้ผู้ก่อการร้ายสังกัดอัลไคด้ารายแรก คือ อาบู ซูไบดะ ซึ่งซีไอเอ เชื่อว่าเป็นผู้วางแผนก่อโศกนาฎกรรม 9/11

ต่อมาในเดือนธันวาคม 2009 เมื่อคณะกรรมาธิการความมั่นคงและข่าวกรองสหรัฐฯ นำเสนอรายงานเกี่ยวกับโครงการลับของซีไอเอในสมัยประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช ออกมาตอกย้ำเรื่องนี้อีกครั้ง ข่าวบอกว่าเป็นรายงานความยาว 6,000 หน้า (แต่มีการเปิดเผยออกมาเพียง 480 หน้า) ที่ให้รายละเอียดชัดเจนถึงเทคนิคที่ใช้ในการสอบปากคำ เช่น การให้อดนอนเป็นเวลานาน การทรมานให้สำลักน้ำ แบบที่เรียกว่า waterboarding รวมถึงการทุบตี และจับเปลื้องผ้าทำให้อับอาย ฯลฯ ซึ่งวุฒิสมาชิก ไดแอนน์ ไฟนสไตน์ ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมาธิการสอบสวนเรื่องนี้ระบุว่า เรื่องนี้เป็น “ความด่างพร้อย” ทั้งต่อคุณค่าและประวัติศาสตร์อเมริกัน

รายงานที่อ้างเอกสารของซีไอเอนี้ ระบุว่า อาบู ซูไบดะ ถูกทรมานด้วยวิธี waterboarding ถี่ถึง 83 ครั้งในหนึ่งเดือน โดนเอาศีรษะโขกกำแพง ถูกทรมานโดยการไม่ให้ได้หลับได้นอน และวิธีอื่นๆ จนกระทั่งผู้สอบสวนเห็นว่าเขาไม่มีข้อมูลที่มีประโยชน์จะเปิดเผยให้แล้ว รวมถึงบอกว่านางแฮสเปล ซึ่งเป็นผู้ดูแลคุกลับในเมืองไทย และเป็นผู้ลงนามในคำสั่งให้ทำลายหลักฐานทุกอย่างเกี่ยวกับการทรมานผู้ต้องหาที่เกิดขึ้น

เรื่องฉาวโฉ่ที่เกิดขึ้นนี้ รัฐบาลไทย ทั้งสมัยนายทักษิณ ชินวัตร ต่อเนื่องมาถึงสมัยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต่างออกมาปฏิเสธเรื่องคุกลับของซีไอเอ กันเสียงแข็ง อีกทั้งมีการนำสื่อมวลชนทั้งของไทยและต่างประเทศ ทุกสำนัก ทุกแขนงไปพิสูจน์ความจริงกันที่จังหวัดอุดรธานี และที่ภูกระดึง จังหวัดเลย ซึ่งสงสัยกันว่าเป็นที่ตั้ง หรือเกี่ยวข้องกับคุกลับตามที่มีการพูดกันด้วย... แต่ก็ไม่พบอะไร

จนกระทั่งถึงวันนี้ พวกเราคนไทยก็ยังไม่มีใครทราบว่าคุกลับในเมืองไทยที่ว่ากันเป็นตุเป็นตะที่นี่นั้น มันตั้งอยู่ตรงไหน ทำไมถึงไม่มีใครรู้เห็น...

เรื่องนี้ก็เงียบไป เพราะท่าทีของประธานาธิบดีบารัก โอบาม่า ที่ประกาศว่าภายใต้การบริหารงานของเขา จะไม่มีการนำกระบวนการสอบปากคำอย่างที่ปรากฏอยู่ในรายงานกลับมาใช้อีก เพราะสิ่งนี้ได้สร้างความเสื่อมเสียอย่างใหญ่หลวงต่อผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ในต่างประเทศ โดยไม่เป็นผลดีต่อความพยายามปราบปรามการก่อการร้ายในภาพรวม

แต่พอประธานาธิบดีทรัมป์เข้ามาดำรงตำแหน่งแทน ประเด็น “ละเมิดสิทธิมนุษยชน” ก็กลายเป็นประเด็นที่ถูกจับตามองอีกครั้ง เพราะทรัมป์ ซึ่งแสดงท่าทีชัดเจนว่าเขาสนับสนุนต่อกระบวนการทรมานนักโทษในลักษณะดังกล่าว เพราะเป็นวิธีที่ได้ผล ได้ประกาศแต่งตั้ง จีน่า แฮสเปล เป็นรอง ผอ.ซีไอเอ แทบจะทันทีที่เข้าเสร็จสิ้นการสาบานตัวเป็นประธานาธิบดีเมื่อต้นปีที่แล้ว

ซึ่งคราวนั้น องค์กรนิรโทษกรรมสากล หรือ Amnesty International ได้ออกแถลงการณ์คัดค้านทันที โดยให้เหตุผลว่าหากปล่อยให้ผู้ที่มีหน้าที่ดูแลคุกลับในเมืองไทยขึ้นไปดูแล ซีไอเอ ก็จะทำให้การสืบสวน-สอบสวนเรื่องราวการจัดตั้งคุกลับในต่างประเทศ การทรมานผู้ต้องหา รวมถึงการ “อุ้มผู้ต้องหา” หรือ enforced disappearance ซึ่งยังไม่เสร็จสิ้น ก็จะไม่สามารถดำเนินต่อไปได้

แต่เห็นได้ชัดว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ ไม่ได้แคร์ต่อความห่วงใยขององค์กรนิรโทษกรรมสากลแต่อย่างใด เพราะอย่างที่ทราบ นางแฮสเปล ทำงานเป็นเบอร์สองของ ซีไอเอ ได้เพียงแค่ปีเดียวก็ถูกดันขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งแล้ว...

ณ เวลานี้มีเพียงสภาสูง หรือวุฒิสภาสหรัฐฯ เท่านั้น ที่จะเป็นปราการสุดท้าย หากลงมติรับรอง นางแฮสเปล ก็จะกลายเป็น ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองสหรัฐฯ เต็มตัว ซึ่งข่าวบอกว่ามีวุฒิสมาชิกจากเดโมแครตบางคนออกมาพูดแล้วว่าไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ แต่เสียงคัดค้านของพวกเขาจะมากพอหรือไม่ ยังคงเป็นเรื่องน่าห่วง

จีน่า แฮสเปล กล่าวว่า "ฉันรู้สึกขอบคุณประธานาธิบดีทรัมป์ สำหรับโอกาสนี้ และรู้สึกไม่คู่ควรกับความเชื่อมั่นของประธานาธิบดี ที่เสนอชื่อให้ฉันเป็นผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองกลางคนใหม่ หากได้รับการยืนยัน ฉันตั้งหน้าตั้งตารอที่จะให้ความสนับสนุนด้านข่าวกรองที่ดีเยี่ยมอย่างที่เขาต้องการ”

หวั่นกันว่าเมื่อประธานาธิบดีทรัมป์ ได้หัวหน้าหน่วยข่าวกรองที่มีรสนิยมแบบเดียวกันเช่นนี้ ก็เท่ากับเป็นการเพิ่มอิทธิฤทธิในการเล่นงานผู้ที่ถูกจับกุมจากทั่วโลก ทั้งที่ถูกจับในประเทศและนอกประเทศ โดยไม่ต้องแคร์กับกฎหมายระหว่างประเทศหรือหลักสิทธิมนุษยชนมากนัก รวมถึงสามารถการใช้ประเด็น “ความมั่นคง” เป็นเครื่องมือในการกีดกันและเลือกปฏิบัติกับชาวต่างชาติ หรือบุคคลใดๆ โดยที่ไม่ต้องแคร์อะไร

ขอปิดท้ายบทความนี้ กับคำกล่าวของ มายา โฟ ผู้อำนวยการขององค์กร รีพรีฟ ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์กรระดับหัวแถวของอเมริกาที่ด้านสิทธิมนุษยชน ที่ออกมาการผลักดันให้นางจีน่า แฮสเปล ขึ้นไปคุม ซีไอเอ ครั้งนี้ เพราะ “ตรงใจ” ที่สุด

มายา โฟ บอกว่าความพยายามผลักดันให้คนอย่างนางแฮสเปล ขึ้นไปคุมซีไอเอนั้น แสดงให้เห็นชัดเจนถึงวิสัยทัศน์ที่ “ล้าหลัง” ของโดนัลด์ ทรัมป์ ในการใช้ “คน” และ “วิธีการ” ที่ไม่มีประสิทธิภาพ...


ล้อมกรอบ :

จีน่า แฮสเปล ร่วมงานกับ ซีไอเอ ตั้งแต่ปี 1985 ขณะอายุ 28 ปี โดยเริ่มจากการเป็น “สายลับ” ประจำการอยู่ในหลายๆ ประเทศแทบจะทั่วโลก และเติบโตก้าวหน้าขึ้นมาเรื่อยๆ จนได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้คุมคุกลับในเมืองไทยตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงธันวาคม ปี 2002 มีรหัสเรียกขานว่า Cat’s Eye

เสร็จภารกิจที่เมืองทย นางแฮสเปล กลับมาประจำการที่ดีซี ก่อนไปเป็นหัวหน้าสำนักงานที่ลอนดอน และนิวยอร์ค และเริ่มทำงานในตำแหน่งบริหารระดับสูงของซีไอเอ เมื่อปี 2013 เริ่มจากตำแหน่ง Director of the National Clandestine Service ก่อนจะได้รับแต่งตั้งโดยประธานาธิบดีทรัมป์ ให้ขึ้นมาเป็นรองผู้อำนวยการซีไอเอ เมื่อปี 2017 และเป็น (ว่าที่) ผู้อำนวยการ ซีไอเอ ในปีนี้.

 




นำเสนอข่าวโดย : ภาณุพล รักแต่งาม,
แหล่งที่มาข่าวโดย : สยามทาวน์ยูเอส
24-04-2024 จับ (ซะที) สามโจรทุบร้านไทยและ ฯลฯ กว่า 130 แห่งในแคลิฟอร์เนีย (0/260) 
23-04-2024 เตรียมปรับผังแอลเอเอ็กซ์ครั้งใหญ่ รับ “บอลโลก-โอลิมปิก (0/70) 
22-04-2024 จับโจร “งัดแมนชั่น” นายกเทศมนตรีเมืองแอลเอ (0/169) 
19-04-2024 เอาให้ชัด! ฟาสต์ฟู้ดแคลิฟอร์เนียแพงขึ้นเท่าไหร่ หลังปรับค่าแรง 20 เหรียญ (0/261) 
17-04-2024 รายได้เท่าไหร่ ถึงจะอยู่แบบ “สบายๆ” ในแคลิฟอร์เนีย (0/272) 

แสดงความคิดเห็น

Name :

Detail :




ฉบับที่
599
siamtownus newspaper








Hots Clip VDO ดูทั้งหมด

ขออภัยสัญญาณ VDO มีปัญหากำลังดำเนินการแก้ไข