การประกวดข้าวดีเด่นของโลกประจำปี 2017 ในการประชุมข้าวโลกครั้งที่ 9 (The World Rice Conference) จัดโดยองค์กรผู้ค้าข้าวโลก (The Rice Trader) ที่มาเก๊า เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน ปรากฎว่าข้าวหอมมะลิของไทย รักษาความเป็น “ข้าวที่ดีที่สุดในโลก” ได้เป็นปีที่สอง หลังจากที่ต้องเสียแชมป์ให้กับข้าวของประเทศอื่นไปหลายปี
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ข้าวหอมมะลิไทย ได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับ 1 ของโลก โดยเอาชนะข้าว 21 สายพันธุ์ที่ถูกส่งเข้าประกวดในปีนี้ โดยข้าวจากกัมพูชาที่ได้อันดับ 2 และข้าวจากเวียดนามที่ได้อันดับ 3
นายกกิตติมศักดิ์ของสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย บอกด้วยว่าการที่บรรดากรรมการ ซึ่งเป็นเชฟจากโรงแรมหลายแห่งในมาเก๊าลงคะแนนให้ข้าวหอมมะลิของไทยมากที่สุด จนกลายเป็นข้าวที่ดีที่สุดในโลกเช่นนี้ ถือเป็นความภาคภูมิใจ และเป็นการประกาศศักยภาพข้าวไทยในระดับโลกอีกครั้ง หลังจากที่เสียแชมป์ให้กับข้าวจากพม่าในปี 2011 และข้าวจากกัมพูชาในปี 2012-13 และข้าวจากอเมริกาในปี 2015
ทั้งนี้ นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ พูดชัดเจนว่า สาเหตุที่ทำให้ข้าวหอมมะลิของประเทศไทย เสียแชมป์ไปถึงสี่ปีนั้น เป็นเพราะคุณภาพข้าวตกต่ำจากการเร่งรีบผลิตและเก็บเกี่ยวจน ซึ่งเป็นผลมาจากการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว ที่บอกว่ารับทุกเม็ด
“เรากลับมาเป็นแชมป์อีกครั้งเพราะเราหันมาเน้นที่คุณภาพของข้าวกันอีกครั้ง” นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ กล่าว และว่าเกียรติยศที่ข้าวหอมมะลิของไทยได้รับมาในครั้งนี้ จะส่งผลให้มีการจำหน่ายข้าวได้มากขึ้น และราคาข้าวดีขึ้น แม้ว่าในเวลานี้ ข้าวหอมมะลิของไทยจะมีราคาสูงกว่าข้าวของกัมพูชาและเวียดนามอยู่แล้วก็ตาม โดยราคาของข้าวหอมมะลิของไทยอยู่ที่ตันละ 850 ดอลลาร์ เทียบกับข้าวจากกัมพูชา ตันละ 750 ดอลลาร์ และข้าวจากเวียดนาม ตันละ 550 ดอลลาร์
นายกกิตติมศักดิ์ของสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ได้แนะนำรัฐบาลด้วยว่า ควรหันมาส่งเสริมให้ชาวนาปลูกข้าวออแกนิก หรือข้าวปลอดสารพิษมากขึ้น เพราะจะทำให้ข้าวหอมมะลิของไทยมีกลิ่นหอมเหมือนเช่นในอดีต ที่ผืนนายังไม่ปนเปื้อนด้วยสารเคมีมากเหมือนปัจจุบัน
อนึ่ง การประกวดปีนี้ ประเทศไทยส่งข้าวเข้าประกวด 3 สายพันธุ์ คือข้าวหอมมะลิ 105, ข้าวหอมปทุมธานี และข้าวขาว
ส่วนสถานการณ์ส่งออกข้าวหอมมะลิไทยในปีนี้นั้น ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ บอกว่าในช่วงเดือนมกราคม ถึงกันยายน 2017 นั้น มีปริมาณ 1.190 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 12.81 เปอร์เซ็นต์จากช่วงเดียวกันของปี 2016 ที่ส่งออกได้ 1.054 ล้านตัน ส่วนราคาส่งออกเฉลี่ยปัจจุบันอยู่ที่ตันละ 940 ดอลลาร์ สูงขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ที่ตันละ 650-700 ดอลลาร์ ส่วนตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ สหรัฐฯ สัดส่วน 27.42 เปอร์เซ็นต์ ตามด้วย จีน 11.69 เปอร์เซ็นต์ และฮ่องกง 11.59 เปอร์เซ็นต์.