เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2017 เจฟฟ์ เซสชันส์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ แถลงว่าจะทำการยกเลิกโครงการ "ดาก้า" (the Deferred Action for Childhood Arrivals -DACA) ที่เป็นการโครงการคุ้มครองเยาวชนซึ่งเดินทางเข้ามาในประเทศอย่างผิดกฎหมายระหว่างช่วงอายุ 6-16 ปี ด้วยการให้สถานภาพที่ถูกต้องเป็นการชั่วคราว สามารถเข้ารับการศึกษาเล่าเรียน มีใบอนุญาตทำงาน ใบขับขี่ ฯลฯ ซึ่งโครงการดังกล่าวเริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2012 ในสมัยของประธานาธิบดีบารัก โอบามา
เจฟฟ์ เซสชันส์ กล่าวว่า โครงการ DACA เป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขตรัฐธรรมนูญของอดีตประธานาธิบดีโอบามา คือเกิดขึ้นจากการใช้อำนาจบริหารสูงสุดของประธานาธิบดี (executive action) โดยไม่ผ่านกระบวนการของรัฐสภา และรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะใช้ “มาตรการจัดระเบียบใหม่” ตามกรอบของกฎหมายเพื่อดูแลเยาวชนกลุ่มนี้ต่อไป โดยบอกว่าในช่วงก่อนที่การยกเลิกจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 5 มีนาคม ศกหน้านั้น สภาคองเกรส จะประชุมเพื่อจัดทำมาตรการทดแทนต่อไป
ต่อเรื่องนี้ องค์กรกฎหมายหลักของชาวเอเชียในลอส แอนเจลิส คือ Asian Americans Advancing Justice - Los Angeles (Advancing Justice-LA) และองค์กรอื่นๆ ที่ทำงานเพื่อช่วยเหลือผู้อพยพ หรือชนกลุ่มน้อย รวมถึงผู้นำชุมชนจากหลายชาติ ได้รวมตัวกันจัดแถลงข่าวที่สำนักงานในดาวน์ทาวน์ แอลเอ เมื่อวันพุธที่ 6 กันยายน เพื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับสื่อมวลชนจากชนกลุ่มน้อย รวมถึงสยามทาวน์ยูเอส ซึ่งเป็นตัวแทนของชุมชนไทย ถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากคำประกาศของรัฐมนตรีว่ากระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ดังกล่าว
สจ๊วร์ต โกว ประธานและผู้บริหารสูงสุดของ Advancing Justice-LA กล่าวว่าในระยะห้าปี นับจากโครงการ DACA ถูกสร้างขึ้นมา องค์กรของตนได้ช่วยกลุ่มผู้อพยพหนุ่มสาวหลายพันคน ซึ่งส่วนใหญ่แทบจะไม่รู้จักประเทศเกิดของตัวเอง ให้ได้รับสถานภาพที่ถูกต้อง และสามารถโผล่พ้นขึ้นมาจากเงามืด สามารถทำงานเพื่อครอบครัว ชุมชน และเศรษฐกิจของประเทศได้ และว่าในขณะที่โครงการ DACA อาจจะจบสิ้นลงนี้ ตนและเพื่อนร่วมอุดมการณ์จะอุทิศตัวเพื่อช่วยเหลือเยาวชนกลุ่มนี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และจะสู้เพื่อให้พวกเขามีที่ยืนในสังคมประชาธิปไตยด้วย
ทั้งนี้ นับจากมีการประกาศใช้เมื่อปี 2012 เป็นต้นมา โครงการ DACA สามารถเปลี่ยนชีวิตของเยาวชนที่ติดตามครอบครัวเข้ามาตั้งแต่ยังเล็กได้เกือบ 800,000 คน โดยรัฐแคลิฟอร์เนีย มีเยาวชนในโครงการ DACA มากที่สุด คือกว่า 200,000 คน เป็นเยาวชนเชื้อสายเอเชียไม่ต่ำกว่า 16,000 คน
โดยทางศูนย์ฯ ได้สรุปประเด็นสำคัญที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ออกมาหลายประการ เช่น
-จะไม่มีการรับพิจารณาใบสมัคร DACA ใหม่นับจากวันที่ 5 ตุลาคม 2017
-ผู้ที่อยู่ในโครงการ DACA จะยังคงรักษาสถานภาพของตัวเอง รวมถึงสามารถทำงานได้ตามปกติจนกระทั่งถึงวันหมดอายุ
-ผู้ที่อยู่ในโครงการ DACA ซึ่งใบอนุญาตทำงาน จะหมดอายุในช่วงระหว่าง 5 กันยายน 2017 และ 5 มีนาคม 2018 สามารถต่ออายุใบอนุญาตทำงาน แต่จะต้องยื่นแบบฟอร์มต่ออายุก่อนวันที่ 5 ตุลาคม 2017
-จะไม่มีการออกใบอนุญาตออกนอกประเทศ (advance parole) ใหม่อีกต่อไป และผู้ถือบัตรที่คิดจะเดินทางออกนอกประเทศ แม้จะยังไม่หมดอายุ ก็ไม่สามารถยืนยันว่าท่านจะสามารถกลับเข้าประเทศได้อีก ส่วนเยาวชนในโครงการ DACA ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างเดินทางไปต่างประเทศ และกังวลว่าจะสามารถกลับเข้ามาได้หรือไม่นั้น ทางศูนย์ฯ แนะนำให้โทรศัพท์เข้ามาปรึกษาเจ้าหน้าที่ก่อนออกเดินทาง
ท้ายที่สุด ทางองค์กร Asian Americans Advancing Justice ยืนยันว่าจะรวมพลังกับองค์กรกฎหมาย และกลุ่มสิทธิมนุษย์ชนอื่นๆ ทำการต่อสู้เพื่อรักษา DACA เอาไว้ และให้ผ่านกฎหมาย DREAM Act. รวมถึงเรียกร้องให้ผู้ที่อยู่ในโครงการ DACA ยื่นต่ออายุ (renewal) ภายในวันที่ 5 ตุลาคมด้วย โดยให้เหตุผลว่า “วิธีที่ดีที่สุดในการคุ้มครองผู้ที่อยู่ในโครงการ DACA แล้วก็คือการยืดสถานภาพ DACA ออกไปให้นานที่สุด”
ทั้งนี้ องค์กร Advancing Justice-LA ยืนยันว่าจะให้คำปรึกษาโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย กับผู้อยู่ในโครงการ DACA ทุกคน รวมถึงผู้ที่ต้องการจะยื่นขอต่ออายุด้วย โดยสามารถติดต่อทนายความของศูนย์ฯ ผ่านเจ้าหน้าที่คนไทย ได้ที่หมายเลข 800-914-9583
ทั้งนี้ การยกเลิกโครงการคุ้มครองผู้อพยพผิดกฎหมายที่เข้ามาในสหรัฐฯ ตั้งแต่ยังเด็ก ซึ่งเป็นมาตรการที่จัดตั้งขึ้นในสมัยรัฐบาลโอบามาของรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ นั้น ได้รับเสียงวิจารณ์อย่างหนักจากหลายฝ่าย รวมถึงอดีตประธานาธิบดีโอบามา ซึ่งตำหนิทรัมป์ว่า “โหดร้าย" และ “ผิดมหันต์” เพราะจะทำให้แรงงานที่มีทักษะและพรสวรรค์ต้องออกจากสหรัฐฯ และว่าการที่ทรัมป์ส่งต่อให้คองเกรสเป็นผู้พิจารณาหาทางออกในเรื่องนี้ ก็เป็นสิ่งที่ผิดรัฐธรรมนูญ
ขณะ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ผู้บริหารสูงสุดของเฟซบุ๊ก กล่าวว่า "เป็นวันอันน่าเศร้า" ของอเมริกา
ซาราห์ ฮัคกาบี โฆษกประจำทำเนียบขาว ออกมาปกป้องการตัดสินใจเพิกถอนโครงการ DACA ของทรัมป์ โดยบอกว่าโครงการนี้เป็นการให้รางวัลผู้ทำผิดกฎหมายอิมมิเกรชั่น จึงต้องแก้ไขเปลี่ยนแปลง ขณะที่ทรัมป์ ได้ทวีตข้อความปกป้องตนเองว่า เขาไม่ได้ชื่นชอบกับการลงโทษเด็ก ซึ่งส่วนใหญ่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่การเพิกถอน DACA เกิดจากการกระทำของพ่อแม่เด็กเหล่านี้
“สหรัฐฯ เป็นประเทศแห่งโอกาส แต่เราก็ต้องตระหนักด้วยว่า สหรัฐฯ ก็เป็นประเทศแห่งกฎหมายเช่นกัน” ประธานาธิบดีทรัมป์ ระบุ
ทั้งนี้ การเพิกถอนโครงการ DACA สร้างความไม่พอใจให้กับชาวอเมริกันเป็นจำนวนมาก โดยส่วนหนึ่งพากันออกมาเดินขบวนประท้วงในเมืองใหญ่ๆ เช่นในกรุงวอชิงตัน, ลอส แอนเจลิส, แอตแลนตา หรือ แม้แต่ที่หน้าอาคาร ทรัมป์ ทาวเวอร์ ในนครนิวยอร์ค แต่ไม่มีรายงานเหตุรุนแรงเกิดขึ้น.