หนึ่งในมาตรการป้องกันผู้อพยพอยู่ในประเทศแบบผิดกฎหมายของรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เพิ่งประกาศใช้ก็คือการตั้งเงินประกันวีซ่า หรือ Visa bond กับประเทศที่มีอัตราการ “โดดร่ม” สูงๆ มีผลตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคม ที่ผ่านมา โดยยอดเงินประกันวีซ่า อาจจะสูงได้ถึง 15,000 ดอลลาร์ต่อคน…
แม้ว่าประเทศไทย จะไม่ใช่เป้าหมาย เพราะตัวเลขพวกเราที่ “โอเวอร์สเตย์” นั้นน้อยมาก เมื่อเทียบกับหลายๆ ประเทศ แต่ก็มีผู้อ่านหลายท่านถามถึงเรื่องนี้เข้ามา…
:- ปฐมบท
โครงการเงินประกันวีซ่าของกระทรวงการต่างประเทศนี้ เป็นโครงการนำร่อง ระยะเวลา 12 เดือน ภายใต้ความเชื่อว่าหากต้องวางเงินประกันก้อนโต เช่น 15,000 ดอลลาร์ เพื่อขอวีซ่าเข้าประเทศอเมริกา จำนวนผู้ไม่ยอมกลับ ซึ่งจะถูกริบเงินประกัน ก็จะลดลง
:-ยอดเงินประกันวีซ่า 15,000 ดอลลาร์?
ในเบื้องต้น กระทรวงต่างประเทศได้กำหนดวงเงินประกันเอาไว้สามระดับ คือ 5,000 ดอลลาร์, 10,000 ดอลลาร์ และ 15,000 ดอลลาร์ ส่วนใครจะโดนเท่าไหร่นั้น รัฐบาลให้อยู่ในดุลพินิจของเจ้าหน้าที่กงสุลสหรัฐฯ ประจำประเทศของผู้ขอวีซ่า โดยจะพิจารณาคุณสมบัติของผู้ขอวีซ่าเป็นรายตัว เช่น วัตถุประสงค์ในการเดินทาง หน้าที่การงาน รายได้ ทักษะ และการศึกษา
สรุปง่ายๆ คือใครที่เจ้าหน้าที่กงสุลอเมริกันเห็นว่ามีโอกาสโดดร่มสูง ก็ตั้งเงินประกันวีซ่าเอาไว้สูงๆ แทนการปฏิเสธได้เลย
:-ประเทศที่ได้รับผลกระทบ
กระทรวงต่างประเทศ แถลงเมื่อวันที่ 5 สิงหาคมว่า สองประเทศแรกที่นักเดินทางต้องจ่ายเงินประกันวีซ่าคือ มาลาวีและแซมเบีย โดยจะมีผลทั้งกับวีซ่านักธุรกิจ (B-1) และวีซ่าท่องเที่ยว ( B-2) และว่าจะมีการเพิ่มรายชื่อประเทศอื่นๆ อีก
โดยหลักพิจารณาเพิ่มชื่อประเทศที่นักเดินทางจะต้องวางเงินประกันวีซ่านั้น เบื้องต้นกระทรวงการต่างประเทศ ประกาศออกมาแค่สามข้อ คือ
1 พิจารณาดูจากปริมาณของผู้ที่อยู่เกินกำหนดของประเทศนั้นๆ
2 คุณภาพของระบบคัดกรองและตรวจสอบของประเทศนั้นๆ
3 จำนวนการเข้าร่วมโครงการลงทุนเพื่อขอสัญชาติ (Citizenship by Investment :CBI) ของประเทศนั้น (เพราอเมริกาเชื่อว่ากระบวนการพิจารณาให้สัญชาติกับนักลงทุนของประเทศอื่นๆ นั้น ดำเนินการอย่างหละหลวม ไม่เข้มงวด เช่นไม่จำเป็นต้องมีที่อยู่จริงๆ ในประเทศ เป็นต้น
:-ประเทศที่อาจจะได้รับผลกระทบในอนาคตอันใกล้
แม้จะยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ แต่เชื่อว่ากลุ่มประเทศที่น่าจะได้รับผลกระทบจากโครงการประกันวีซ่าของอเมริกา คือกลุ่มประเทศในแอฟริกาและเอเชีย ที่มีสถิติการโอเวอร์สเตย์ สูงกว่ากลุ่มอื่น โดยประเทศที่เคยถูก “แบน” ของโดนัลด์ ทรัมป์ ก็เช่น ชาด (Chad) เอริเทรีย เฮติ เมียนมาร์ และเยเมน
แต่หากจะเอาข้อมูลอย่างเป็นทางการของกระทรวงการต่างประเทศแล้วละก็ ประเทศที่มีสัดส่วนของการโอเวอร์สเตย์ วีซ่า B-1/B-2 สูงสุดของปี 2023 คือ
1 Chad : 49.54% ของจำนวนวีซ่า
2 Equatorial Guinea : 33.40%
3 Myanmar : 33.00%
4 Haiti : 31.00%
5 Laos : 29.70%
6 Republic of the Congo : 29.60%
7 Sudan: 25.70%
8 Djibouti : 23.90%
เมื่อเอาเปอร์เซ็นต์ของผู้โดดวีซ่าของประเทศเหล่านี้ มาเทียบกับจำนวนวีซ่าทั้งหมด จะพบว่าประเทศที่มีผู้อยู่เกินวีซ่ามากที่สุดในปี 2023 คือโคลอมเบีย (เกือบ 41,000 คน), เฮติ (27,000 คน), เวเนซุเอลาและบราซิล (21,000 คนเท่ากัน)
ส่วนข้อมูลของสำนักงานศุลกากรและป้องกันชายแดนในปี 2023 บอกให้จับตาประเทศบุรุนดี, จิบูตี (Djibouti) และโตโก โดยมีอินเดียตามมาติดๆ (มีชาวอินเดียโอเวอร์เสตย์ ถึง 12,882 คนทั้งวีซ่า B-1 หรือ B-2)
ประเมินว่าผู้อยู่เกินกำหนดวีซ่า มีสัดส่วนประมาณ 42 เปอร์เซ็นต์ของประชากรกลุ่ม “โรบินฮูด” ทั้งหมดในอเมริกา ซึ่งกระทรวงต่างประเทศเชื่อว่า มาตรการประกันวีซ่าจะทำให้ชาวต่างชาติเดินทางกลับออกไปตรงเวลา ซึ่งจะลดตัวเลขโรบินฮูด ลงได้ปีละมหาศาล
:-ประเทศอื่นมีระบบวางเงินประกันวีซ่าไหม?
ข้อมูลบอกว่า นิวซีแลนด์ เป็นเพียงประเทศเดียวที่เคยใช้ระบบวางเงินประกันวีซ่า แถมเคยใช้ (และยกเลิก) ถึงสองครั้ง คือในปี 1939 และ 1995 ส่วน ยูเค เคยมีแผนที่จะประกาศใช้ในปี 2013 กับประเทศที่เห็นว่า “มีความเสี่ยงสูง” แต่ภายหลังได้ยกเลิกไป
อเมริกาในสมัย “ทรัมป์ 1” ก็เคยมีโครงการนี้มาแล้ว แต่ไม่ได้นำมาปฏิบัติเพราะเป็นช่วงที่เกิดวิกฤตโควิด-19 พอดี
:-การขอวีซ่าชนิดอื่นๆ มีผลกระทบไหม
ข้อมูล ณ ขณะนี้ บอกว่าการเรียกเก็บเงินประกันวีซ่า จะมีผลเฉพาะผู้ขอวีซ่า B-1 และ B-2 ในประเทศที่อยู่ในรายชื่อเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับการขอวีซ่าประเภทอื่นๆ อีกทั้งการวางเงินประกันวีซ่ายังมีข้อยกเว้นในบางกรณี เช่นการขอวีซ่าเข้ามาทำงานให้รัฐบาลสหรัฐฯ หรือการยกเว้นอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับมนุษยธรรม เป็นต้น
สรุปจากข้อมูลที่มี ณ เวลานี้ น่าจะเห็นชัดเจนว่าประเทศไทย จะยังไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับโปรแกรมประกันเงินวีซ่าเข้าอเมริกา อย่างน้อยก็ในช่วงนี้...