ข่าวเด่นเมืองไทย
ข่าวเด่นเมืองไทย
คุก6ปี’อดีตทนาย’โกงเงิน3ล้าน’น้องบีม’ประสบอุบัติเหตุนั่งวีลแชร์ ลุยรื้อคดี’บ.ขนส่ง’ละเมิด


จากกรณีนายพิสิษฐ์ สัมมาเลิศ อายุ 60 ปี อดีตทนายความ ก่อเหตุฉ้อโกงเงิน 5 ล้านบาทที่คู่กรณีคดีอุบัติเหตุชดใช้ให้กับ “น้องบีม” วัย 14 ปี  ที่ได้รับบาดเจ็บที่กระดูกสันหลังและเส้นประสาทจนเดินไม่ได้ต้องพิการนั่งรถวิลแชร์ และนางพรทิพย์ จันทรัตน์ มารดา อายุ 46 ปี จนอัยการยื่นฟ้องคดีอาญาต่อศาลจังหวัดตลิ่งชันนั้น

ล่าสุดเมื่อวันที่ 5ตุลาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 18กันยายน ที่ผ่านมาศาลจังหวัดตลิ่งชัน ถนนสวนผัก มีคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการจังหวัดตลิ่งชัน เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายพิสิษฐ์ อดีตทนายความ เป็นจำเลย ฐานร่วมกันปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม และร่วมกันฉ้อโกงและยักยอกโดยเป็นผู้จัดการทรัพย์สิน เป็นผู้มีอาชีพอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 วรรคสอง , 268 , 341 , 353 , 354 โดยนายพิสิษฐ์ จำเลย ให้การรับสารภาพ ศาลจึงมีคำพิพากษาให้จำคุก 5 ปี 12 เดือนโดยไม่รอลงอาญา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้สภาทนายความและเนติบัณฑิตยสภาให้ความช่วยเหลือทางคดีกับ “น้องบีม” และนางพรทิพย์ มารดา 

โดย ว่าที่พ.ต.สมบัติ วงศ์กำแหง อุปนายกฝ่ายบริหาร สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ และประธานกรรมการสำนักงานช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย เนติบัณฑิตยสภา เปิดเผยผลคำพิพากษาว่า ศาลจังหวัดตลิ่งชัน มีคำพิพากษาคดีเมื่อวันที่ 18 กันยายนที่ผ่านมา ในคดีที่พนักงานอัยการสำนักงานศาลจังหวัดตลิ่งชัน เป็นโจทก์ นายพิสิษฐ์ หรือต้อง สัมมาเลิศ น.ส.พรปวีณ์ ชูแก้ว และ น.ส.ฐิตาภา หรือภัทรวดี สวัสดี เป็นจำเลยที่1-3 ฐานร่วมกันปลอมเอกสาร ฉ้อโกงและยักยอกทรัพย์ ในคดีหมายเลขดำที่ 3272/2560 โดยนายพิสิษฐ์ จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลจึงพิพากษาจำคุก นายพิสิษฐ์ เป็นเวลา 5 ปี 12 เดือนไม่รอลงอาญา และห้ามไม่ให้ประกอบอาชีพทนายความเป็นเวลา 5 ปี ส่วน นางพรปวีณ์ และ น.ส.ฐิตาภา ภรรยาของนายพิสิษฐ์ ให้การปฏิเสธต่อสู้คดี ศาลจังหวัดตลิ่งชัน จึงให้อัยการโจทก์ แยกฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นสำนวนใหม่ต่างหาก

ว่าที่พ.ต.สมบัติ กล่าวต่อว่า เมื่อนายพิสิษฐ์ จำเลย รับสารภาพตามฟ้อง และศาลพิพากษามาเช่นนี้ คณะทำงานช่วยเหลือทางกฎหมายมีตนและนายดำรงศักดิ์ เครือแก้ว อุปนายกฝ่ายปฏิบัติการ ดำเนินการอยู่จะนำผลคำพิพากษาไปวิเคราะห์แล้วเตรียมนำไปประกอบการแถลงศาลจังหวัดไชยาในคดีละเมิดที่ศาลเคยมีคำพิพากษาคดีที่ บริษัท ประกอบกิจการขนส่งรถยนต์ป้ายแดงแห่งหนึ่ง ย่านนนทบุรี กระทำละเมิด “น้องบีม” ไปแล้ว เนื่องจากนายพิสิษฐ์ ขณะนั้นที่เป็นทนายความของ”น้องบีม” เคยยื่นคำแถลงไม่ติดใจบังคับคดีกับบริษัท ประกอบกิจการขนส่งรถยนต์ฯ ไปโดยไม่ชอบ ไม่ตรงตามเจตนาที่แท้จริงของตัวความ ดังนั้นจะขอให้ศาลจังหวัดไชยาเพิกถอนคำแถลงที่นายพิสิษฐ์เคยยื่นดังกล่าว ทั้งนี้หากศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำแถลงดังกล่าวแล้ว คดีละเมิดสามารถบังคับคดีต่อไปได้ แต่มีข้อน่าสังเกตว่า ยังมีประเด็นเรื่องที่บริษัทผู้ประกอบกิจการขนส่ง ตกเป็นจำเลยในคดีละเมิด ได้สั่งจ่ายเช็คแก่นายพิสิษฐ์ ทนายความแทนที่จะจ่ายแก่ตัวความนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะหากไม่ชอบบริษัทผู้สั่งจ่ายเช็คจะเป็นผู้เสียหาย จากการกระทำของนายพิสิษฐ์อีกด้วยเช่นกัน

ว่าที่ พ.ต.สมบัติ กล่าวอีกว่า ส่วนคดีแพ่ง ที่ น้องบีม และแม่ได้ยื่นฟ้องนายพิสิษฐ์ ฐานผิดสัญญาตัวแทนและเรียกทรัพย์คืนนั้น เราจะนำคำพิพากษาคดีอาญานี้ ไปยื่นประกอบการสืบพยานในคดีแพ่งต่อศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษกด้วย เนื่องจากเป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวพันกัน อย่างไรก็ดีสำหรับน้องบีม ขณะนี้มีสุขภาพจิตดี และน่าจะได้เข้าทำงานเป็นพีอาร์ของวัดชลประทานฯ จ.นนทบุรี หลังจากที่อาคารพิพิธภัณฑ์หลวงพ่อปัญญา เปิดแล้ว   

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับพฤติการณ์การกระทำผิดนั้น เนื่องจาก น.ส.พรทิพย์ มารดาน้องบีม ผู้กล่าวหากับพวก ตั้งนายพิสิษฐ์ จำเลยที่ 1 เป็นทนายความ มอบอำนาจให้เจรจาเรียกร้องเงินค่าเสียหายตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 8 ที่พิพากษาให้บริษัท “น นน” อินเตอร์เฟรท (ประเทศไทย) จำกัดกับพวก ชำระเงินค่าเสียหาย 4,987,822 บาท กรณีพนักงานบริษัทขับรถชนผู้กล่าวหากับพวกได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ต่อมาวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2557 นายพิสิษฐ์ จำเลยที่ 1 และ น.ส.ฐิตาภา ภรรยาของนายพิสิษฐ์ ได้มาเจรจาค่าเสียหายกับบริษัทตกลงชดใช้เงิน 4 ล้านบาท โดยทำสัญญาบริษัท สั่งจ่ายเช็ค 500,000 บาทให้กับนายพิสิษฐ์ จำเลยที่ 1 ที่รับไปแล้ว ส่วนเงินที่เหลือ 3.5 ล้านบาทตกลงผ่อนชำระ 35 งวดๆละ 100,000 บาท โดยให้โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของจำเลยที่ 1 จนครบถ้วน ต่อมาระหว่างผ่อนชำระจำเลยที่ 1 ได้แจ้งให้บริษัทสั่งจ่ายเช็คเพื่อชำระหนี้แต่ละงวด โดยลงวันที่ไว้ล่วงหน้าระบุชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้รับเงิน

ต่อมาวันที่ 27 เมษายน 2557 จำเลยที่ 1 เดินทางมาทำบันทึกข้อตกลงประนีประนอมยอมความกับบริษัท มีใจความว่า ผู้กล่าวหากับพวกได้รับเงินจำนวน 650,000 บาท จากการผ่อนชำระของบริษัทแล้ว คงเหลือยอดหนี้ตามคำพิพากษาจำนวน 3,350,000 บาท บริษัทขอจ่ายเป็นเช็คให้แก่ผู้เสียหายรวม 31 ฉบับ ผู้เสียหายทั้งห้าได้รับเช็คดังกล่าวเรียบร้อยแล้วในวันทำสัญญาดังกล่าว บริษัทได้สั่งจ่ายเช็คระบุชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้รับเงินจำนวน 31 ฉบับมอบให้จำเลยที่ 1 ไป และต่อมาทราบว่าจำเลยที่ 1 ได้นำเช็คดังกล่าวไปขายลดเรียบร้อยแล้ว แต่จำเลยที่ 1 ได้หลอกลวงผู้กล่าวหาว่าอยู่ระหว่างการเจรจาค่าเสียหายกับบริษัทโดยขอต่อรองค่าเสียหายเหลือ 800,000 บาท ซึ่งจำเลยที่ 1 ได้พูดจาหว่านล้อมผู้กล่าวหาว่าสมควรจะรับไว้ดีกว่าไม่ได้เลยและอ้างว่าจะช่วยต่อรองกับบริษัทให้ได้เงิน 1 ล้านบาท

 ต่อมาจำเลยที่1แจ้งว่าสามารถเจรจาตกลงได้แล้ว และนัดผู้กล่าวหาไปพบในวันที่ 2 พฤษภาคม 2557 วันดังกล่าวจำเลยที่1 เดินทางมาพร้อมกับน.ส.ฐิตาภา ภรรยา อ้างว่าเป็นตัวแทนของบริษัทแล้วผู้ต้องหาทั้งสองก็ได้นำเอกสารสัญญาประนีประนอมยอมความอันเป็นเท็จมาหลอกผู้กล่าวหาให้หลงเชื่อยินยอมทำสัญญาดังกล่าวที่ตกลงชดใช้เงิน 1 ล้านบาทแก่ผู้กล่าวหา ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้โอนเงิน 285,000 บาทเข้าบัญชีธนาคารของผู้กล่าวหา จากนั้นผู้กล่าวหาก็ไม่ได้รับการโอนเงินอีกเลย เมื่อติดต่อทวงถามผู้ต้องหาทั้งสองหลายครั้งก็ไม่สามารถติดต่อได้ กระทั่งผู้กล่าวหาติดต่อสอบถามบริษัท จึงได้รับคำชี้แจงว่าบริษัทได้ชำระเงินให้แก่จำเลยที่ 1 เรียบร้อยแล้ว และ น.ส.ฐิติภา ไม่ได้เป็นตัวแทนหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทแต่อย่างใด จึงได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดี โดยพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหานายพิสิษฐ์ ฐานร่วมกันปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม  ร่วมกันฉ้อโกงและยักยอกโดยเป็นผู้จัดการทรัพย์สิน เป็นผู้มีอาชีพอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน  ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 วรรคสอง , 268 , 341 , 353 , 354 ส่วน น.ส.ฐิตาภา แจ้งข้อกล่าวหา ฐานร่วมกันฉ้อโกง และสนับสนุนยักยอกโดยเป็นผู้จัดการทรัพย์สิน เป็นผู้มีอาชีพอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน

ต่อมาวันที่ 17 กรกฎาคม 2560 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมตัวผู้ต้องหาทั้ง2คน ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี ชั้นจับกุมและสอบสวนนายพิสิษฐ์ ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ส่วน น.ส.ฐิตาภา ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุม แต่ชั้นสอบสวนให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา

โดยในชั้นฝากขังและชั้นพิจารณา นายพิสิษฐ์และภรรยา ไม่ได้ยื่นประกันตัวแต่อย่างใด โดยนายพิสิษฐ์ ถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษธนบุรี ส่วน น.ส.ฐิติภา ถูกควบคุมตัวไปคุมขังยังทัณฑสถานหญิงกลางธนบุรี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากคดีอาญาดังกล่าวแล้ว นางพรทิพย์ และ น้องบีม ยังได้ยื่นฟ้อง นายพิสิษฐ์ และนางพรปวีณ์ เป็นจำเลยที่ 1-2 ในคดีหมายเลขดำ พ.3178/2560 เรื่องผิดสัญญาตัวแทนและบังคับตามสัญญารับสภาพหนี้ ทุนทรัพย์พิพาท 3,412,500 บาทต่อศาลแพ่งด้วย เมื่อวันที่ิ 6 กรกฎาคม ที่ผ่านมา สองแม่ลูกได้รับความช่วยเหลือทางคดีในการยื่นฟ้องจาก นายวัชณ์ธิป แสดงมณี ทนายความจากสำนักงานช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา (ส.ช.น.) ในการเป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง




 




นำเสนอข่าวโดย : Kittisuda .,
แหล่งที่มาข่าวโดย : มติชน
21-02-2021 วงการบันเทิงสูญเสีย ไพโรจน์ ใจสิงห์ นักแสดงมากฝีมือ (0/13912) 
30-10-2019 แจงระงับสิทธิจีเอสพี กระทบแค่1,800ล้าน (25/5245) 
16-10-2019 ส่งออกข้าววืดเป้า9ล้านตัน ถูกเวียดนามตามบี้ทุกตลาด (0/2874) 
25-09-2019 รายงานหน้าหนึ่ง : ดอกเตอร์จากฟินแลนด์ ยัน รมช.ไทยลอกวิทยานิพนธ์ (2/3183) 
19-09-2019 รายงานหน้าหนึ่ง : ปลดล็อค”น้ำดอกไม้สีทอง”สู่อเมริกา (0/2052) 

แสดงความคิดเห็น

Name :

Detail :




ฉบับที่
599
siamtownus newspaper








Hots Clip VDO ดูทั้งหมด

ขออภัยสัญญาณ VDO มีปัญหากำลังดำเนินการแก้ไข