อเมริกาและแคลิฟอร์เนีย
เริ่มต้น’ถอดถอน’ทรัมป์ ดึงยูเครนทำลาย’ไบเดน’


แนนซี เพโลซี




แอลเอ (สยามทาวน์ยูเอส) : ชาวอเมริกันได้เฮ หลังประธานสภาผู้แทนฯ ประกาศเอาจริง “อิมพีชเมนท์” ประธานาธิบดีทรัมป์ พ้นจากตำแหน่ง หลังหลักฐานปรากฎชัด ใช้อำนาจหน้าที่กดดันยูเครน ให้ตรวจสอบ “โจ ไบเดน” คู่แข่งคนสำคัญในการเลืกตั้งปีหน้า ถือเป็นการ “ชักศึกเข้าบ้าน” เพื่อแทรกแซงเลือกตั้ง


เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2019 เอ็นบีซี ได้เปิดเผยบทสนทนาระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งได้ขอให้นายโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน ตรวจสอบกรณีของนายโจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐ และนายฮันเตอร์ ไบเดน บุตรชายของเขา ซึ่งมีการทำธุรกิจในยูเครน ในการสนทนาทางโทรศัพท์ ซึ่งมีขึ้นเมื่อเดือนกรกฎาคม มีความยาว 30 นาที

“มีคนพูดกันมากมายเกี่ยวกับลูกชายของไบเดน เรื่องที่ไบเดนขอให้อัยการยุติการสอบสวนลูกชายของเขา ซึ่งหลายคนต้องการอยากจะรู้ความจริง ดังนั้น อะไรที่คุณทำได้ร่วมกับทางอัยการจะเป็นเรื่องที่ดีมาก ขณะที่ไบเดนเที่ยวคุยนักคุยหนาว่าเขาสามารถหยุดอัยการได้ คุณช่วยตรวจสอบเรื่องนี้ให้ด้วย เพราะมันดูแย่มากสำหรับผม”  ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าว

เรื่องนี้ ทำให้นางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ จากพรรคเดโมแครต ได้ประกาศมื่อวันที่ 24 กันยายน ว่าจะเริ่มกระบวนการไต่สวนอย่างเป็นทางการเพื่อถอดถอนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกจากตำแหน่ง

โดยเรื่องทั้งหมดนี้ ถูกมองว่า  ประธานาธิบดีทรัมป์ พยายามกดดันให้มีการสอบสวนนายไบเดน ซึ่งเป็นคู่แข่งคนสำคัญของ ประธานาธิบดีทรัมป์ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสมัยหน้า โดยการกระทำดังกล่าวถูกมองว่าเป็นการเปิดทางให้รัฐบาลต่างชาติเข้ามาแทรกแซงการเลือกตั้งในสหรัฐ

“ดิฉันขอประกาศในวันนี้ว่า สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐจะเริ่มกระบวนการไต่สวนอย่างเป็นทางการ เพื่อถอดถอนประธานาธิบดีทรัมป์” นางเพโลซีกล่าวในแถลงการณ์ หลังจากที่ได้เข้าร่วมประชุมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสังกัดพรรคเดโมแครต

นางเพโลซี กล่าวว่า  ประธานาธิบดีทรัมป์ยอมรับว่าเขาได้โทรศัพท์ไปยัง ประธานาธิบดีเซเลนสกีเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม ที่ผ่านมา เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับนายไบเดน การกระทำดังกล่าวของ ประธานาธิบดีทรัมป์แสดงให้เห็นว่า เขาไม่ซื่อสัตย์ต่อคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ในขณะสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง และถือเป็นการทรยศต่อประเทศชาติ และทรยศต่อหลักคุณธรรมแห่งการเลือกตั้งของสหรัฐ

ทั้งนี้ นางเพโลซีกล่าวว่า ได้สั่งการให้คณะกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ เริ่มต้นกระบวนการไต่สวนเพื่อถอดถอน ประธานาธิบดีทรัมป์ พร้อมกับกล่าวว่า “ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย และ ประธานาธิบดีทรัมป์จะต้องแสดงความรับผิดชอบในเรื่องนี้”

นอกจากนี้  ประธานาธิบดีทรัมป์ยังได้สั่งระงับการให้งบช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครนจำนวนราว 400 ล้านดอลลาร์ในช่วง 1 สัปดาห์ก่อนที่เขาจะโทรศัพท์ติดต่อนายเซเลนสกี ซึ่งมีการมองกันว่า  ประธานาธิบดีทรัมป์กำลังใช้งบช่วยเหลือทางทหารของสหรัฐเพื่อกดดันนายเซเลนสกีให้มีการสอบสวนนายไบเดน และบุตรชาย

ทั้งนี้ นายไบเดน เป็นหนึ่งในผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรคเดโมแครต และถือเป็นคู่แข่งคนสำคัญของ ประธานาธิบดีทรัมป์ หาก ประธานาธิบดีทรัมป์ประสบความสำเร็จในการสกัดนายไบเดนออกจากการแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ  ประธานาธิบดีทรัมป์ก็มีแนวโน้มสูงที่จะได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอีกสมัย

คณะกรรมาธิการแห่งชาติของพรรครีพับลิกัน (อาร์เอ็นซี) ออกมาระบุว่า การกล่าวหาผู้นำสหรัฐฯ ดังกล่าวเป็นการหลอกลวง และว่า “แทนที่จะสนับสนุนความพยายามในการถอดถอนซึ่งไม่มีมูลความจริง นายไบเดน ควรที่จะตอบคำถามสำหรับกรณีอื้อฉาวที่มีอยู่ ได้แก่ เหตุใดบริษัทยูเครนแห่งหนึ่ง ถึงต้องจ่ายเงิน 50,000 ดอลลาร์ต่อเดือนให้กับลูกชายของนายไบเดนเพื่อล็อบบี้รัฐบาลของนายบารัก โอบามา และนายโจ ไบเดน และเหตุใดนายไบเดน ถึงข่มขู่ยูเครนให้ปลดพนักงานอัยการรายหนึ่งที่ทำการสอบสวนบริษัทดังกล่าว”

ด้านประธานาธิบดี ทรัมป์ กล่าวถึงความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นว่า เป็นกระบวนการล่าแม่มดที่แสนจะสกปรก เพื่อกำจัดเขา

อย่างก็ตาม วิเคราะห์กันว่ากระบวนการไต่สวนเพื่อถอดถอนประธานาธิบดีทรัมป์ คงจะไม่ผ่านความเห็นชอบในวุฒิสภาที่มี ส.ว. รีพับลิกันครองเสียงข้างมาก เพราะขั้นตอนนี้ต้องใช้คะแนนเสียง 2 ใน 3 แต่หากมีการถอดถอนทรัมป์จริงก็ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1998 ที่สภาคองเกรส ดำเนินการกับประธานาธิบดี คลินตัน ฐานให้การเท็จและขัดขวางกระบวนการยุติธรรม จากกรณีมีความสัมพันธ์อื้อฉาวในทำเนียบขาว แม้สภาผู้แทนราษฎร มีมติถอดถอนคลินตัน แต่อีก 2 เดือนต่อมา วุฒิสภาเพิกถอนมติของสภาล่าง และคลินตันดำรงตำแหน่งต่อเนื่องจนครบ 2 สมัย

ด้าน โจ ไบเดน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรคเดโมแครต เรียกร้องให้สภาคองเกรสถอดถอนทรัมป์ หากเขาไม่ปฏิบัติตามการสอบสวนกรณีเปิดทางให้รัฐบาลต่างชาติเข้ามาแทรกแซงการเลือกตั้งในสหรัฐ

“โดนัลด์ ทรัมป์ ต้องออกจากสภาคองเกรส ในมุมมองของผม ผมมองว่าไม่มีทางเลือกนอกจากจะเริ่มต้นกระบวนการถอดถอน นั่นจะเป็นโศกนาฏกรรม แต่เป็นโศกนาฏกรรมที่เขาทำตัวเอง” นายไบเดนกล่าว ที่วิลมิงตัน รัฐเดลาแวร์ พร้อมทั้งกล่าวหา ประธานาธิบดีทรัมป์ว่า ปกปิดข้อมูลที่เกี่ยวกับการคุยโทรศัพท์กับ ประธานาธิบดียูเครน ซึ่งเป็นข้อมูลที่ทางสภาคองเกรสร้องขอ

“การปฏิเสธการให้ข้อมูลกับสภาคองเกรส และขัดขวางความพยายามในการสอบสวน ไม่ใช่การกระทำของประธานาธิบดีอเมริกัน เป็นการใช้อำนาจในทางที่ผิด” นายไบเดน ซึ่งเคยเป็นอดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐกล่าว

ทั้งนี้ ปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองในสหรัฐ ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการอยู่หรือไปของทรัมป์ ส่งผลต่อตลาดหุ้นในเอเชียโดยตรง ทำให้หลายตลาดปิดทำการปรับตัวร่วงลง เริ่มจากดัชนีนิกเกอิ ตลาดหุ้นโตเกียว ปรับตัวลง 78.69 จุด หรือ 0.36% แตะที่ระดับ 22,020.15 จุด โดยหุ้นที่ปรับตัวลงนำโดยหุ้นกลุ่มเครื่องจักร กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ กลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำมันและถ่านหิน

นอกจากนักลงทุนจะวิตกกังวลเกี่ยวกับความผันผวนทางการเมืองในสหรัฐแล้ว ยังวิตกว่าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนอาจสะดุดลง หลังจาก ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าววิพากษ์วิจารณ์จีนในเวทีการประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ(ยูเอ็น)โดยบอกว่าจีนมีการดำเนินการทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม และเขาจะไม่ยอมรับข้อตกลงการค้าที่ทำให้ชาวอเมริกันเสียเปรียบ.

 




นำเสนอข่าวโดย : ภาณุพล รักแต่งาม,
แหล่งที่มาข่าวโดย : สยามทาวน์ยูเอส

แสดงความคิดเห็น

Name :

Detail :




ฉบับที่
599
siamtownus newspaper








Hots Clip VDO ดูทั้งหมด

ขออภัยสัญญาณ VDO มีปัญหากำลังดำเนินการแก้ไข