วอยซ์ออนไลน์รายงานงานข่าวว่า รัฐแคลิฟอร์เนีย ผ่านกฎหมายปฏิวัติวงการฟรีแลนซ์ เอาต์ซอร์ซ และผู้รับจ้างให้บริการผ่านแพลตฟอร์มแอปพลิเคชันต่างๆ อย่าง รถร่วมเดินทางหรือไรด์แชริง (ridesharing) แบบอูเบอร์ โดยสาระสำคัญคือการกำหนดชัดว่าผู้ทำงานภายใต้เงื่อนไขแบบไหน ควรจัดเป็นลูกจ้าง และแบบไหนควรจัดเป็นผู้รับจ้าง เพื่อคุ้มครองให้คนทำงานในลักษณะนี้ได้รับสิทธิและสวัสดิการแบบลูกจ้างของบริษัท
โดยในปัจจุบัน ผู้รับจ้างทำงานหรือให้บริการอิสระต่างๆ เช่น ผู้ให้บริการขับรถผ่านอูเบอร์ (Uber) และลิฟต์ (Lyft) รวมถึงงานอื่นๆ อย่างบริการส่งอาหาร นักแปล และล่าม มักถูกจัดให้มีสถานะเป็นผู้รับจ้างอิสระ (independent contractor) ซึ่งเป็นตำแหน่งงานที่ไม่ได้รับสิทธิหรือสวัสดิการแบบที่ลูกจ้าง (employee) พึงมี เช่น ค่าล่วงเวลา เวลาพักรับประทานอาหาร การหยุดโดยได้รับค่าจ้าง ประกันสังคม และการการันตีค่าแรงขั้นต่ำ
ร่างกฎหมายแอสเซมบลีบิลล์ 5 หรือ เอบีไฟว์ (Assembly Bill 5: AB5) ของแคลิฟอร์เนีย มุ่งเปิดทางให้ผู้บริการผ่านแพลตฟอร์มเหล่านี้ถูกจัดเป็นลูกจ้าง ได้ผ่านวุฒิสภาวันที่ 10 กันยายน หลังผ่านสภาผู้แทนราษฏรมาก่อนหน้านั้น และได้รับการลงนามโดย เกวิน นิวซัม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย เมื่อวันที่ 18 กันยายน ทำให้ร่างกฎหมายนี้มีผลโดยสมบูรณ์ โดยจะมีผลในเชิงปฏิบัติตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ศกหน้า
ร่างกฎหมายฉบับนี้ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เพราะกระทบโดยตรงต่อธุรกิจไรด์แชริง อย่าง อูเบอร์และลิฟต์ ซึ่งได้รับความนิยมในสหรัฐฯ ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว กฎหมายเอสบีไฟว์ มีผลกับหลายวงการ รวมถึงอุตสาหกรรมส่งสินค้าด้วยรถบรรทุก เช่น เฟดเอกซ์ (FedEx) เป็นต้น
ในกรณีของการขับรถอูเบอร์ หรือลิฟต์ นั้น แม้งานเหล่านี้จะดูเหมือนเป็นงานรับจ้างอิสระ แต่คนขับรถมักร้องเรียนว่าบริษัทต้นสังกัด มีอำนาจควบคุมตารางชีวิตของพวกเขาเหมือนนายจ้างทำกับลูกจ้าง ไม่ใช่แบบรับจ้างทำงานอิสระ
ทางด้าน โทนี เวสต์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายของอูเบอร์ กล่าวว่าแม้กฎหมายนี้จะออกมา แต่ทางบริษัทก็จะไม่จัดประเภทคนขับรถของอูเบอร์ให้กลายเป็นลูกจ้าง โดยชี้ว่าร่างกฎหมาย AB5 ไม่ได้เป็นการจัดประเภทใหม่คนขับรถบริการไรด์แชริงแบบอูเบอร์ จากผู้รับจ้างสัญญาอิสระให้กลายเป็นพนักงานลูกจ้างโดยอัตโนมัติ
"AB5 ไม่ได้ให้สิทธิประโยชน์อะไรกับคนขับ ทั้งยังไม่ให้สิทธิคนขับจัดการการรับงานตัวเอง อันที่จริง ร่างกฎหมายนี้ไม่ได้พูดถึงคนขับรถในบริการไรด์แชริงเลยแม้แต่น้อย" เวสต์กล่าว
ร่างกฎหมายนี้ มุ่งสร้างความกระจ่างว่าคนทำงานประเภทใดจัดเป็นผู้รับจ้างอิสระ ไม่ใช่ลูกจ้าง โดยมีเกณฑ์ 3 ข้อดังนี้
ปัจเจกบุคคลนั้น จะต้องเป็นอิสระจากการควบคุมและการชี้นำของผู้จ้างในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงาน ทั้งในทางสัญญาและในทางปฏิบัติ
ปัจเจกบุคคลนั้น จะต้องปฏิบัติงานที่อยู่นอกเหนือเนื้องานตามปกติของธุรกิจของผู้จ้าง
ปัจเจกบุคคลนั้น โดยปกติแล้วจะต้องมีส่วนในการค้า การทำธุรกิจ หรือการประกอบอาชีพที่เป็นอิสระจากผู้ว่าจ้าง ซึ่งมีเนื้องานลักษณะเดียวกับงานที่รับจ้างทำ
กล่าวคือผู้รับจ้างทำงานอิสระนั้น จะต้องไม่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของผู้ว่าจ้าง ปฏิบัติงานที่อยู่นอกเหนือเนื้องานหลักของธุรกิจผู้ว่าจ้าง และมีอาชีพหรือธุรกิจเป็นอิสระสามารถรับงานแบบเดียวกันกับที่รับจ้างทำได้ หากไม่ผ่านเกณฑ์ทั้งสามประการนี้ ผู้ทำงานจะถูกนับเป็นลูกจ้าง และต้องได้รับสวัสดิการต่างๆ เช่น ประกันการว่างงาน ประกันรายได้ขั้นต่ำ และค่าล่วงเวลา
อย่างไรก็ตาม ร่างกฎหมายนี้ได้มีการยกเว้นงานในบางอุตสาหกรรมที่ถูกมองว่าไม่นับเป็นการจัดประเภทลูกจ้างผิด เช่น นักเขียนและศิลปินฟรีแลนซ์
ทางอูเบอร์ ชี้ว่าอูเบอร์ผ่านเกณฑ์ดังกล่าวอย่างแน่นอน แม้เกณฑ์ที่อูเบอร์ต้องพิสูจน์ว่าผู้รับจ้างอิสระนั้น ทำงานนอกเหนือเนื้องานหลักของธุรกิจจะเป็นข้อที่อาจเป็นปัญหาที่สุด แต่อูเบอร์ชี้ว่าคนขับของอูเบอร์ไม่ใช่หัวใจหลักของธุรกิจ เพราะเนื้องานหลักของอูเบอร์คือการให้บริการแพลตฟอร์มเทคโนโลยีที่เป็นสื่อกลาง ไม่ใช่ให้บริการรถรับส่ง
เวสต์ ยังเสริมอีกว่าหากอูเบอร์ถูกบังคับให้จัดประเภทการจ้างงานคนขับใหม่จริง คนขับอูเบอร์จะสูญเสียความคล่องตัวไป เนื่องจากจะไม่สามารถกำหนดเองได้อีกว่าอยากรับงานตอนไหน และหยุดทำเมื่อไร แต่กลายเป็นเหมือนลูกจ้างที่ต้องทำงานตามกะ
ทั้งนี้ อูเบอร์ ลิฟต์ และดอร์แดช (DoorDash) ซึ่งต่างเป็นธุรกิจที่มีผู้รับจ้างเป็นคนขับขี่รถรับส่งบุคคลหรืออาหารเช่นเดียวกันนั้น ได้ทุ่มทุน 90 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 2,740 ล้านบาท) รณรงค์สนับสนุนให้มีการเสนอกฎหมายโดยประชาชนในปี 2020 เพื่อให้มีการเพิ่มประเภทจ้างงานใหม่ นอกเหนือจากลูกจ้างและผู้รับจ้างอิสระ เป็นประเภทการจ้างงานสำหรับคนขับรถที่ให้บริการผ่านแพลตฟอร์มไรด์แชริงแยกต่างหาก โดยเวสต์ชี้ว่านี่เป็นทางเลือกที่สามที่จะคุ้มครองพาร์ตเนอร์คนขับ โดยที่ยังให้อิสระในการให้บริการได้
ทางด้านลิฟต์ ระบุว่าพร้อมจะนำประเด็นนี้ไปให้ผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงในแคลิฟอร์เนียตัดสิน เพื่อรักษาอิสรภาพที่จำเป็นสำหรับพาร์ตเนอร์คนขับ.