ไทยรัฐ รายงานว่าบริษัท แอปเปิล อิงค์ จัดงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ “สตีฟ จ๊อป เธียเตอร์” ในเมืองคูเปอร์ติโน รัฐแคลิฟอร์เนีย เมื่อ 10 กันยายน โดยเปิดตัวสมาร์ทโฟนเรือธงของพวกเขาประจำปีนี้คือ iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max มาพร้อมกับขุมกำลังภายในที่ทรงพลังแต่ประหยัดพลังงาน กับกล้องหลังอีก 3 ตัว
ตัวเครื่อง iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max ผลิตจากสแตนเลสสตีล เกรดเดียวกับเครื่องมือแพทย์ ปูด้วยกระจกที่แอปเปิลอ้างว่าแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาสมาร์ทโฟน ส่วนหน้าจอแสดงผลใช้จอ OLED รุ่นใหม่ที่แอปเปิลเรียกว่า Super Retina XDR โดยรุ่น Pro จอกว้าง 5.8 นิ้ว ความละเอียด 2436x1125 พิกเซล, 458 ppi ส่วนรุ่น Pro Max จอกว้าง 6.5 นิ้ว ความละเอียด 2688x1242 พิกเซล, 458 ppi ใช้ระบบสัมผัสแบบ haptic touch
ระบบเสียงของสมาร์ทโฟนทั้ง 2 รุ่น รองรับ HDR 10, Dolby Vision และ Dolby Atmos ใช้ชิป A13 Bionic และ Neural Engine รุ่นที่ 3 โดยเพิ่มตัวเร่ง Machine Learning หรือชิปประมวลผลขนาดเล็กเข้าไปในซีพียู และแยกส่วนกันทำงาน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพแต่ประหยัดพลังงานมากขึ้น ทำให้แบตเตอรี่ของรุ่น iPhone 11 Pro อยู่ได้นานกว่า iPhone XS 4 ชั่วโมง ขณะที่แบตฯ ของ iPhone 11 Pro Max อยู่ได้นานกว่า iPhone XS Max 5 ชั่วโมง
ในส่วนของกล้อง สมาร์ทโฟนเรือธงทั้ง 2 รุ่นมีกล้องหลังทั้งหมด 3 ตัว ได้แก่ เลนส์ปกติ (Wide), เลนส์กว้างพิเศษ (Ultra-Wide) และเลนส์มุมแคบ (TelePhoto) ทั้งหมดมีความละเอียดที่ 12 ล้านพิกเซล สามารถซูมเข้าออกได้ 2 เท่า มาพร้อมกับ Night Mode ที่จะช่วยปรับแสงอัตโนมัติให้ภาพคมชัด
แอปเปิลยังเตรียมให้ดาวน์โหลดเทคโนโลยีที่เรียกว่า Deep Fusion ซึ่งเป็นการใช้ประโยชน์จาก Machine Learning ในชิป A13 เพื่อให้ถ่ายภาพได้คมชัดที่สุด ซึ่งแอปเปิลอธิบายว่า ระบบจะถ่ายรูป 9 รูป แบ่งเป็น จับภาพ exposure สั้น 4 รูปกับ exposure ยาวอีก 4 รูป ก่อนผู้ใช้จะกดชัตเตอร์ และจับภาพที่มี exposure ยาวกว่า เมื่อกดชัตเตอร์ จากนั้นนำรูปทั้ง 9 มารวมกันเพื่อสร้างรูปที่ดีที่สุด มีความไม่สม่ำเสมอของสีน้อยที่สุด และคมชัดมากที่สุด
นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์สำหรับแก้ไขวิดีโอภาพแอป Photos โดยสามารถปรับแก้ไขได้ทั้ง exposure, อุณหภูมิสี, ครอป และสเกลภาพ ขณะที่กล้องหน้ามีความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ปลดล็อกด้วย Face ID เร็วขึ้น 30% ตัวเครื่องยังรองรับ Wi‑Fi 6 (802.11ax) มีอแดปเตอร์ชาร์จความเร็วสูง 18 วัตต์ แบบ USB-C แถมมาในกล่องด้วย
ทั้งนี้ iPhone 11 Pro กับ iPhone 11 Pro Max มี 4 สีให้เลือกซื้อ ได้แก่ เทาสเปซเกรย์, เงิน, ทอง และสีใหม่คือ เขียวมิดไนท์กรีน กับความจุอีก 3 ขนาดคือ 64GB, 256GB และ 512GB ราคาเริ่มต้นสำหรับ iPhone 11 Pro คือ 999 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 30,580 บาท) ส่วน iPhone 11 Pro Max เริ่มที่ 1,099 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 33,640 บาท) ในสหรัฐฯ เริ่มจองได้ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 13 ก.ย.นี้ และเริ่มส่งมอบ 20 ก.ย.
แอปเปิลยังประกาศลดราคา iPhone XR ลงเหลือ 599 ดอลลาร์ (ราว 18,335 บาท) และลดราคา iPhone 8 เหลือ 449 ดอลลาร์ (ราว 13,745 บาท)
อย่างไรก็ดี ความเคลื่อนไหวครั้งล่าสุดของแอปเปิลครั้งนี้ ถูกผู้เชี่ยวชาญวิจารณ์ว่า iPhone ใหม่ทั้ง 3 รุ่นยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนักจากปีที่แล้ว เชื่อว่าแอปเปิล คงจะรอเปิดตัว iPhone 5G ในปีหน้า ซึ่งจะเพิ่มความเร็วในการรองรับข้อมูลได้มากขึ้น
นักวิเคราะห์กล่าวว่า การที่ iPhone ทั้ง 3 รุ่นไม่รองรับระบบ 5G จะกระทบต่อยอดขายของ iPhone โดยเฉพาะในจีน ซึ่งได้เริ่มเปิดตัวเครือข่าย 5G แล้ว ขณะที่หัวเว่ย ซึ่งเป็นคู่แข่งของแอปเปิล จะเปิดตัวสมาร์ทโฟน 2 รุ่นในปีนี้ที่รองรับ 5G ส่วนเสียวหมี่ก็มีรุ่นหนึ่งที่รองรับ 5G แล้ว
นอกจากนี้ การที่แอปเปิลยังคงใช้กลยุทธ์ตั้งราคา iPhone ให้สูงกว่าคู่แข่ง ก็เป็นอีกปัจจัยที่กดดันยอดขายในจีน
Susquehanna International Group คาดการณ์ว่า ยอดขาย iPhone ปีนี้อยู่ที่เพียง 70 ล้านเครื่อง ลดลงเกือบ 30% จากช่วงที่ยอดขาย iPhone พุ่งสูงสุดในปี 2014 แต่คาดว่ายอดขาย iPhone จะดีดตัวขึ้นในปีหน้า หากแอปเปิลเปิดตัว iPhone 5G
ส่วนนายเอ็ดดี้ ฮั่น นักวิเคราะห์จากมาร์เก็ต อินเทลลิเจนส์ แอนด์ คอนซัลติง อินสติติว คาดการณ์ว่า ยอดขายสมาร์ทโฟนระบบ 5G จะเพิ่มเป็น 35 ล้านเครื่องในปีหน้า และอาจพุ่งแตะ 75 ล้านเครื่อง หรือ 100 ล้านเครื่อง หากมีการเปิดตัว iPhone 5G.
.
.