ตื่นเต้นเพราะพวกเราส่วนใหญ่ลืมไปแล้วว่า แผ่นดินไหวใหญ่ แบบที่เรียกว่า big one นั้นมันเป็นอย่างไร ด้วยว่ารัฐแคลิฟอร์เนียของเราไม่มีแผ่นดินไหวใหญ่มานานกว่า 20 ปีแล้ว พอได้เจอเข้าจริงก็เลยตื่นเต้น ตกใจ หรือบางคนก็ถึงขั้นหวาดกลัวไปเลย
แผ่นดินไหวใหญ่ทั้งสองครั้ง มีศูนย์กลางอยู่ในทะเลทราย ใกล้เมืองชื่อริดเครส ของเคิร์น เคาน์ตี้ ห่างจากแอลเอ ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 150 ไมล์ ถือว่าห่างไกลชุมชนค่อนข้างมาก จึงไม่มีรายงานความเสียหายร้ายแรง หรือข่าวคราวการเสียชีวิตให้เราได้ยิน
แต่ความสั่นสะเทือนรุนแรง ขนานทำให้น้ำในสระหลังบ้านพวกเราที่ห่างออกมากว่าร้อยไมล์ กระฉอกเป็นลูกคลื่น หรือทำให้หลายๆ คนมีอาการคลื่นเหียนเหมือนเมารถได้แบบนี้ ก็สามารถทำให้หลายคนรู้สึก “เข้าใจ” ว่าทำไมภาครัฐถึงเตือนหนักเตือนหนาให้พวกเราเตรียมพร้อมรับมือเหตุการณ์แผ่นดินไหวระดับ “บิ๊กวัน” ที่พร้อมจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
เป็นเรื่องที่ไม่ควรใจเย็น เพราะนักแผ่นดินไหววิทยาออกมาบอกว่า มีโอกาสถึง 70 เปอร์เซ็นต์ที่จะมีแผ่นดินไหวใหญ่ ตามแนว ซาน แอนเดรส ฟอลท์ (San Andreas fault) ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงปี 2030
ถ้าแผ่นดินไหวใหญ่คราวหน้า เกิดขึ้นบนรอยเลื่อนซาน แอนเดรส ฟอลท์ ซึ่งพาดผ่านรัฐแคลิฟอร์เนีย รวมถึงเมืองแอลเอ ของเรา... ความเสียหายจะมากมายขนาดไหน...
นอร์ธริดจ์ เอิร์ธเคว็ก เป็นแผ่นดินไหวระดับ “บิ๊กวัน” ครั้งสุดท้ายของรัฐแคลิฟอร์เนีย เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 มกราคม 1994 หรือเมื่อ 25 ปีที่แล้ว ศูนย์กลางอยู่ที่เมืองนอร์ธริดจ์ ห่างจากแอลเอ แค่ไม่กี่ไมล์ ความแรง 6.7 แม็กนิทูด ส่งผลให้ตึกรามบ้านช่องพังทลาย ถนนหนทางรวมถึงฟรีเวย์หักพัก มีผู้เสียชีวิตมากถึง 72 คน บาดเจ็บอีกประมาณ 9,000 คน เพราะเกิดขึ้นในช่วงเช้ามืด ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่กำลังนอนหลับอยู่ในบ้าน ประเมินความเสียหายทางเศรษฐกิจมากกว่า 25 พันล้านดอลลาร์
พวกเราที่มีประสบการณ์จาก นอร์ธริดจ์ เอิร์ธเคว็ก (Northridge Earthquake) เมื่อ 25 ปีก่อน คงพอนึกภาพออกว่าหายนะภัยที่เกิดจากแผ่นดินไหวใหญ่นั้นมันเป็นอย่างไร
แต่สำหรับเด็กรุ่นหลัง หรือผู้ที่มาลงหลักฐานที่นี่หลังจากเหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัวในวันนั้น ภาพแผ่นดินไหวใหญ่ของแคลิฟอร์เนียใต้เท่าที่นึกออก คงจะมาจากภาพยนตร์แนววินาศภัยอย่าง San Andreas (2015) และเรื่อง 2012 (2009) ที่ทุ่มทุนสร้างภาพเหตุการณ์แผ่นดินไหวใหญ่ในแคลิฟอร์เนียใต้ออกมาอย่างน่ากลัวเหลือเกิน
โดยเฉพาะเรื่อง 2012 นั้น มีภาพเมืองลอส แอนเจลิส ถล่มจมหายไปในมหาสมุทรแปซิฟิกให้ชมกันด้วย
เป็นภาพเหตุการณ์ที่สร้างขึ้นมาตามข้อสมมุติฐานที่ว่า หากเกิดแผ่นดินไหวที่รุนแรงเพียงพอตามแนวรอยเลื่อนฯ ซานแอนเดรส ฟอลท์ ก็อาจจะส่งผลให้ผิวโลกส่วนที่เป็นรัฐแคลิฟอร์เนียส่วนหนึ่ง หักออกจากแผ่นเปลือกโลกอเมริกาเหนือ (North American Plate) และจมลงมหาสมุทรแปซิฟิกไปได้
ในช่วงที่กำลังมีกระแสตื่นแผ่นดินไหวอยู่ในขณะนี้ ก็เลยมีคนยกเรื่องนี้ไปถามกับผู้เชี่ยวชาญแผ่นดินไหวของสำนักงานสำรวจธรณีแห่งชาติ (The US Geological Survey) ว่ามีความเป็นไปได้ไหมที่แคลิฟอร์เนียจะหายไปจากแผนที่โลกหลังเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ แบบที่เห็นในหนัง
คำตอบของ USGS คือเป็นไปไม่ได้ที่แคลิฟอร์เนียจะจมมหาสมุทรแปซิฟิก หลังแผ่นดินไหวใหญ่
แต่ก็ไม่ใช่ว่าแคลิฟอร์เนีย จะอยู่เป็นรัฐชายฝั่งตะวันตกของประเทศอเมริกาแบบนี้ตลอดไป
ผู้เชี่ยวชาญของ USGS บอกว่าเปลือกโลกมีการเคลื่อนตัวอยู่ตลอดเวลา แต่เป็นไปอย่างช้าๆ ประมาณปีละสองนิ้ว โดยการเคลื่อนไหวขณะนี้ คือแผ่นดินทางฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของรัฐ รวมถึงเมืองแอลเอ ของเราด้วย กำลังค่อยๆ เคลื่อนขึ้นไปทางเหนือ มุ่งสู่อลาสก้า โดยจะค่อยๆ เคลื่อนผ่านแคลิฟอร์เนียตอนกลางและฝั่งตะวันออกขึ้นไป
“ขณะที่แผ่นเปลือกโลกใต้มหาสมุทรแปซิฟิก (The Pacific Plate) ก็กำลังเคลื่อนไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เหมือนกับแผ่นเปลือกโลกอเมริกาเหนือ ดังนั้น ในอีกประมาณ 15 ล้านปีข้างหน้า ลอส แอนเจลิส กับซานฟรานซิสโก ก็จะเป็นเพื่อนบ้านกัน และสักสองสามล้านปีต่อจากนั้น บ้านเรือนในเมืองแอลเอ ก็จะมีรหัสไปรษณีย์เดียวกับบ้านเรือนในอลาสก้า” ผู้เชี่ยวชาญของ USGS บอกว่าอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งห่วงว่ารัฐแคลิฟอร์เนียจะจมทะเล เอาแค่ห่วงว่าจะทำอย่างไรกันดีหากมีแผ่นดินไหวใหญ่เกิดขึ้นที่นี่จะดีกว่า
กาชาดอเมริกัน ได้ทำแคมเปญ “Prepare SoCal” หรือแคมเปญสร้างความตื่นตัวให้กับชาวแคลิฟอร์เนียภาคใต้ สำหรับรับมือกับแผ่นดินใหญ่ “เดอะบิ๊กวัน” เพื่อลดความเสี่ยงต่อตัวเองและครอบครัวให้น้อยลง เป็นเคมเปญที่เข้าใจง่าย เพราะมีข้อใหญ่ใจความแค่สามประการ คือ
1 Get A Kit หรือเตรียมอุปกรณ์ยังชีพ
อย่างน้อยที่สุด กาชาดสหรัฐฯ แนะนำว่าในถัง (หรือถุง) ยังชีพ จะต้องประกอบไปด้วย น้ำดื่มหนึ่งแกลลอนต่อหนึ่งคน/ต่อหนึ่งวัน โดยแนะให้จัดเตรียมเอาไว้สำหรับสามวันหากต้องอพยพ (ทิ้งไว้ในรถ) หรือสองสัปดาห์ หากอยู่ที่บ้าน และที่สำคัญอย่าลืมเตรียมน้ำดื่มให้สัตว์เลี้ยงของคุณด้วย
อาหารแห้ง อาหารกระป๋อง เน้นแบบที่เปิดง่ายๆ ก็จะดีมาก โดยให้เตรียมในปริมาณเดียวกับน้ำดื่ม คือเพียงพอสำหรับสามวันในกรณีที่ต้องอพยพ หรือสองสัปดาห์หากต้องอยู่ที่บ้าน แล้วก็อย่าลืมอาหารกระป๋องสำหรับสัตว์เลี้ยงของคุณด้วย
อุปกรณ์ปฐมพยาบาล (First aid kit) และยาประจำตัว
สามารถดูรายการสิ่งของสำหรับจัดทำถังยังชีพฉบับสมบูรณ์แบบได้ที่เว็บไซต์ของกาชาดสหรัฐฯ ที่ www.PrepareSoCal.org หรือซื้อหาอุปกรณ์จำเป็นสำหรับการยังชีพช่วงประสบภัยพิบัติของกาชาด ได้ที่ www.RedCrossStore.org.
2 Make A Plan หรือวางแผน
ทุกคนในครอบครัวสามารถเอาตัวรอด รวมถึงช่วยเหลือกันและกันในช่วงที่ประสบภัยพิบัติได้หากมีการเตรียมตัววางแผนล่วงหน้าเอาไว้ และทำงานกันเป็นทีม โดยกาชาดสหรัฐฯ แนะนำให้มีการวางแผนสำหรับครอบครัว เช่นแผนอพยพ จุดนัดพบหากติดต่อกันไม่ได้ ให้แต่ละคนรู้ว่าควรทำอะไร หรือมีความรับผิดชอบอะไรหากเกิดภัยพิบัติขึ้น
กาชาดสหรัฐฯ บอกว่าควรเลือกจุดนัดพบหลังเกิดภัยธรมชาติอย่างน้อยสองจุด จุดแรกคือบริเวณหน้าบ้าน หรือใกล้ๆ บ้าน ในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน เช่นไฟไหม้ จุดที่สองคือที่ใดที่หนึ่งในละแวกบ้าน ในกรณีที่ไม่สามารถกลับบ้านได้ หากเป็นบ้านญาติหรือบ้านเพื่อน ทุกคนควรมีที่อยู่และเบอร์โทรของบ้านนั้น (หรือคนในบ้านนั้น) ด้วย
ขอให้เพื่อนหรือญาติที่อยู่ต่างรัฐ เป็นจุดติดต่อของครอบครัว (family contact) เพราะการโทรทางไกลจะทำได้ง่ายกว่าโทรหากันโดยตรงในช่วงหลังเกิดภัยพิบัติ โดยให้โทรไป “ฝากข่าว” เช่นปลอดภัยดี, ขณะนี้อยู่ที่ไหน ฯลฯ เพื่อให้สมาชิกในครอบครัวคนอื่นสามารถโทรไปเช็คข่าวได้...
3 Be Informed หรือติดตามข้อมูล
ปัจจุบัน มีแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับแผ่นดินไหว หรือภัยธรรมชาติอื่นๆ เยอะแยะมากมาย รวมถึง www.PrepareSoCal.org ของกาชาดสหรัฐฯ ที่จะแนะนำขั้นตอนการเตรียมตัวรับมือกับภัยพิบัติแบบละเอียดยิบ ทั้งแผ่นดินไหว ไฟไหม้ สึนามิ และโคลนถล่ม (ที่ล้วนแล้วแต่มีสิทธิเกิดขึ้นในแคลิฟอร์เนียได้ทั้งสิ้น) รวมถึงแนะนำชั้นเรียน หรือโปรแกรมอบรมเพื่อเตรียมตัวรับมือกับเรื่องเหล่านี้ในเมืองที่เราอาศัยอยู่ด้วย
ต้องรู้ว่าหากมีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้น หน่วยงานของรัฐในพื้นที่จะติดต่อหรือส่งข่าวกับเราทางไหนบ้าง วิทยุท้องถิ่น โทรทัศน์ โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ เรียนรู้ถึงความแตกต่างของระดับการเตือนภัย เช่น watches หรือ warnings เพื่อจะได้ทราบว่าควรปฏิบัติอย่างไรต่อไป
ที่สำคัญคือ หากเกิดวิบัติภัยครั้งใหญ่เช่นที่เคยเกิดกับพวกเราเมื่อ 25 ปีที่แล้วนั้น ความช่วยเหลือฉุกเฉินต่างๆ อาจจะเข้ามาไม่ถึงบริเวณที่เราอยู่ หรืออาจะต้องใช้เวลามาก ดังนั้นกาดชาดจึงแนะนำว่าแต่ละครอบครัว ควรมีอย่างน้อยหนึ่งคนที่มีความรู้เรื่องการปฐมพยาบาล ผ่านการฝึกปั้มหัวใจ (CPR) และรู้วิธีใช้เครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าอัตโนมัติ (automated external defibrillator, AED) ซึ่งจะมีประโยชน์อย่างมากทั้งกับครอบครัวและเพื่อนบ้านในกรณีเกิดวินาศภัยร้ายแรงขึ้น โดยกาชาดอเมริกา มีคอร์สเทรนเรื่องพวกนี้ด้วย
และให้มีการแบ่งปันข้อมูลกันในครอบครัวและชุมชน โดยเฉพาะเด็กๆ ที่เรียนรู้วิธี Drop, Cover, Hold On ซึ่งเป็นวิธีเอาตัวรอดขณะเกิดแผ่นดินไหวที่มีการสอนกันอย่างแพร่หลายในทุกชั้นเรียน มาสอนพ่อแม่และคนในครอบครัว รวมถึงเพื่อนบ้านด้วย
และนอกจากองค์การกาชาดสหรัฐฯ แล้ว ยังมีเว็บไซต์ของหน่วยงานอีกมากมายที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเตรียมตัวรับมือกับภัยพิบัติต่างๆ รวมถึงสถานกงสุลใหญ่ ณ นครลอส แอนเจลิส ของเราด้วย... ลองค้นหากันดู
ถ้าพวกเราเตรียมตัวให้พร้อม ก็น่าจะสร้างความสบายใจได้มาก อย่างน้อยก็จนว่า “แผ่นดินไหวใหญ่” จะมาถึงเมืองแอลเอ ของเราจริงๆ
โชคดีทุกคนครับ...
.
.