นสพ.ไทยรัฐ รายงานว่า นางประคอง กิบสัน อายุ 57 ปี ชาวสุพรรณบุรี และ น.ส.เอริกา จัสมิน บอลด์วิน กิบสัน อายุ 22 ปี ลูกครึ่งไทย-อเมริกัน ลูกสาว ได้รับมรดกมูลค่า 1,000 ล้านบาท ของนายเคนดริก บอลด์วิน กิบสัน ชาวอเมริกัน ผู้เป็นสามี ที่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง
โดยนางประคองเล่าตน ตนรู้จักกับสามีชาวอเมริกันเมื่อปี 1993 ก่อนจะจดทะเบียนแต่งงานกัน และย้ายไปอยู่ที่เกาะคาไว รัฐฮาวาย ในเวลาต่อมา โดยทั้งสองลูกหนึ่งคน คือ น.ส.เอริกา จัสมิน บอลด์วิน กิบสัน โดยสภาพชีวิตในช่วงนั้นค่อนข้างดี เพราะสามีได้เงินเดือนจากแม่ ซึ่งเป็นนักเล่นหุ้นในแคลิฟอร์เนียเดือนละเป็นจำนวนมาก
ในปี 2000 นายเคนดริกเสียชีวิตจากโรคมะเร็งตับด้วยวัย 67 ปี ตนและลูกถูกตัดขาดการติดต่อจากครอบครัวสามี ชีวิตจึงลำบาก ต้องอาศัยขอข้าวจากโบสถ์คริสต์ละแวกบ้านประทังชีวิต ตนต้องทำเอกสารขอความช่วยเหลือจากรัฐบาล ได้เงินมา 2,000 ดอลลาร์ นำมาเป็นทุนนำเข้าสินค้าประเภทไม้แกะสลักจากเมืองไทย ก่อนจะเปลี่ยนมาเปิดร้านอาหารไทย ชื่อกิ่งบัว
กระทั่งปี 2010 นางเดกซ์ตรา บอลด์วิน แม่ของสามี เสียชีวิต และมีหนังสือจากทนายความตระกูล บอลด์วิน กิบสัน ระบุให้ น.ส.เอริกา จัสมิน บอลด์วิน กิบสัน รับมรดกในฐานะทายาทในหุ้นสัมปทานที่รัฐบาลขุดเจาะน้ำมันในรัฐแคลิฟอร์เนีย ของตระกูลบอลด์วิน กิบสัน
โดยมรดกทั้งหมด ถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วน ระหว่าง 1.นางบอนนี่ บอลด์วิน กิบสัน พี่สาวของนายเคนดริก ได้ 50 เปอร์เซ็นต์ 2.น.ส.เฮเธอร์ บอลด์วิน กิบสัน 3.น.ส.มาร์โก บอลด์วิน กิบสัน ลูกสาวนายเคนดริก แต่ต่างมารดา ได้คนละ 16.3 เปอร์เซ็นต์ และ 4.น.ส.เอริกา จัสมิน บอลด์วิน กิบสัน 16.3 เปอร์เซ็นต์ รวมถึงหุ้นและพันธบัตรหลักทรัพย์ต่างๆ ด้วย
โดยเมื่อต้นปี 2017 ตนและลูกสาวนำเอกสารไปรับมรดก รวมเป็นเงินกว่า 1,000 ล้านบาท ก่อนจะกลับมาประเทศไทยเพื่อเยี่ยมบ้านเกิด และเดินสายทำบุญตามวัดต่างๆ โดยตั้งใจว่าตนเองและลูกจะอยู่เมืองไทยเป็นการถาวร
ด้าน น.ส.เอริกา จัสมิน บอลด์วิน กิบสัน อายุ 22 ปี กล่าวว่า ตอนที่พ่อเสียชีวิตนั้น ตนมีอายุ 5 ขวบ และเนื่องจากไม่ได้ทำประกันไว้ เงินทั้งหมดของครอบครัวได้ใช้ไปกับการรักษาพ่อ ทำให้ครอบครัวต้องตกอับลำบากอย่างหนัก
หลังจบไฮสกูล ตอนอายุประมาณ 18 ปี ตนตัดสินใจไม่เรียนต่อ เพื่อช่วยงานในร้านอาหารของแม่ ทั้งเสิร์ฟอาหาร ทำอาหาร จัดซื้อวัตถุดิบ และบริหารจัดการธุรกิจร้านอาหารด้วยตัวเอง
เอริก้าบอกว่าเมื่อทราบว่าได้มรดกก้อนโตก็รู้สึกตกใจ เพราะที่ผ่านมา ไม่เคยทราบมาก่อนว่าตระกูลของพ่อจะรวยมหาศาลขนาดนี้ และว่าตนจะกลับไปเรียนระดับคอลเลจต่อ เพื่อนำความรู้มาสานต่อธุรกิจในอนาคต และอยากให้แม่ได้พักผ่อน จึงได้เสนอให้ปิดธุรกิจร้านอาหารที่ฮาวาย รวมทั้งกลับมาประเทศไทย เพื่อทำธุรกิจน้ำดื่มเล็กๆใน จ.กาญจนบุรี.