ดูโลก ดูธรรม และดูใจ
โดย ดร.พระมหาจรรยา สุทธิญาโณ เจ้าอาวาสวัดพุทธปัญญา
บันทึกไว้สมัยเรียนบาลี : ตอนที่ 49 ฝึกฝนตนที่วัดชลประทานรังสฤษฎ์





เมื่อหลวงพ่อปัญญานันทะ ส่งเข้าไปอยู่ในเขตกัมมัฏฐานอีกครั้งหนึ่ง ได้มีเวลาบำเพ็ญเพียรทั้งเดินจงกรมและนั่งสมาธิบริเวณสนามหญ้าเขียวขจีที่ริมสระบัว ดูลมหายใจเข้าออกสลับกันไปกับดูน้ำ ดูดอกบัว ดูใบบัวตามที่ปรากฏ เมื่อตาสัมผัสน้ำ พืชน้ำที่เขียวขจีและสีต่างๆ ทำให้จิตใจสดชื่นเบิกบาน จิตอยู่กับสภาวะที่ปรากฏเฉพาะหน้า เมื่อหลับตาลง ภาพก็ยังคงปรากฏ เมื่อมีเวลาว่างจากกิจกรรมอื่นๆ ก็มักจะมาหาสถานที่นั่งสมาธิ เดินจงกรมในบริเวณเขตกัมมัฏฐานเสมอๆ ทำให้จิตใจที่อุ้มทุกข์จากการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ค่อยๆปล่อยวางเบาบางลง

เนื่องจากมีศรัทธาเลื่อมใสในหลวงพ่อปัญญานันทะมาก จึงร่วมกิจกรรมทุกชนิดที่ท่านนำ สมัยนั้นท่านยังหนุ่มแน่นแข็งแรง ท่านจะใกล้ชิดกับพระนวกะที่บวชระยะสั้นมาก กิจกรรมเริ่มตั้งแต่ตี 4 หลวงพ่อฯ จะนำทั้งพระใหม่และพระเก่าทำวัตรเช้าด้วยตัวท่านเอง เมื่อทำวัตรเช้าเสร็จ ท่านก็จะนำสมาธิด้วยตัวของท่านเอง จากนั้นก็ให้โอวาทจนเวลาประมาณตี 5 ครึ่ง หรือ อาจจะเลยไปบ้าง แล้วเลิกประชุมให้พระไปบิณฑบาต
    
เมื่ออบรมพระภิกษุสามเณรแล้ว ท่านจะเดินตรวจวัดไปตามจุดต่างๆ เป็นการออกกำลังไปด้วย ขณะที่ท่านตรวจวัด สุนัขที่เข้ามาพึ่งร่มใบบุญก็จะติดตามกันเป็นแถว ที่บอกว่าสุนัขมาพึ่งร่มใบบุญของท่าน เพราะว่า มีคราวหนึ่งเทศบาลปากเกร็ด ไล่จับสุนัขทั่วบริเวณนั้น สุนัขกลุ่มหนึ่งวิ่งเข้ามาในวัด เห่าคนไล่ล่าด้วยความกลัว แต่พวกล่าสุนัขของเทศบาลก็มาหยุดแค่หน้าวัด ซึ่งถือว่าเป็นเขตอภัยทาน แต่สุนัขที่ลี้ภัยเหล่านั้น วิ่งตรงมายังกุฏิหลวงพ่อปัญญานันทะ พลางส่งเสียเห่าแบบกระโชกด้วยความกลัว อาตมายืนอยู่ใกล้ๆ เห็นท่านลงมาที่สุนัข แล้วท่านเรียกสุนัขเหล่านั้น บอกว่าไม่ต้องกลัวนะลูกนะ เขาไล่จับลูกเหรอ ไม่ต้องกลัวๆ พอท่านพูดจบ สุนัขที่เห่ากรรโชคก็เงียบลง กระดิกหางเข้ามาหาหลวงพ่อฯ อาตมาเฝ้าดูด้วยความประทับใจในเมตตาธรรมของหลวงพ่อปัญญานันทะอย่างยิ่ง
    
ขณะนั้น เป็นเวลาที่หลวงพ่อปัญญานันทะ จัดบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อน แล้วมอบหน้าที่ให้พระภิกษุช่วยกันสอนสามเณร อาตมาได้รับมอบหมายให้สอนวิชาพุทธประวัติ สถานที่เรียนที่ใช้สอนสามเณร อยู่ริมโรงเรียนพุทธธรรมด้านทิศใต้ เป็นห้องเรียนกลางแจ้ง อาตมาสอนเป็นประจำทุกวัน ถ้าพระอาจารย์รูปใดขาด อาตมาก็จะอาสารับสอนให้ทุกวิชาจนสนิทสนมกับสามเณรมาก ต่อมา วันไหนหลวงพ่อปัญญานันทะไม่ออกไปแสดงธรรมข้างนอก ท่านจะมานั่งฟังอาตมาบรรยายอยู่หลังห้องเรียนเสมอๆ การบรรยายธรรมต่อหน้าอาจารย์ใหญ่แบบนี้ รู้สึกประหม่ามาก แต่ก็พยายามทำหน้าที่ให้เต็มที่ เมื่อหลวงพ่อมาฟังบ่อยๆ ทำให้อาการประหม่าและสั่นค่อยๆลดลง
    
ขณะนั้น ท่านคงจะคิดว่า พระหนุ่มรูปนี้น่าจะฝึกฝนได้ บางคราวคนที่สนิทสนมหรือญาติท่านเสียชีวิตมาตั้งศพที่วัดชลประทานรังสฤษฎิ์ ท่านเคยนิมนต์อาตมาไปนั่งแสดงธรรมบนธรรมาสน์ก่อนสวดพระอภิธรรม ท่านนั่งฟังธรรมใกล้ๆ อาการสั่นของอาตมาก็เกิดตามปกติ แต่พยายามทำจนสำเร็จ แม้ว่าหลวงพ่อปัญญานันทะเป็นนักปาฐกถาธรรมระดับปรมาจารย์ที่หาใครจะเทียบเทียมได้ แต่ท่านจะเคารพพระธรรม กล่าวคือ ตั้งแต่เริ่มแสดงธรรม ทั้งตั้งใจฟังนั่งนิ่ง เวลาจบ อาตมายกมือขึ้นกล่าวคำอวยพรก่อนจบตามแบบที่ท่านแสดงปาฐกถานั่นแหละ ท่านก็ยกมือขึ้นไหว้รับพร พอเสร็จพิธี ท่านบอกว่าเทศน์ใช้ได้ ค่อยๆ ฝึกไปอย่าหยุดฝึก
    
นอกจาเวทีฝึกแสดงธรรมที่กล่าวมาแล้ว ลานไผ่ก็เป็นเวทีฝึกที่สำคัญ หลังฉันภัตตาหารตามปกติหลวงพ่อจะอนุโมทนาอีกครั้งหนึ่ง บางคราวก็ส่งไม่โครโฟนมาให้อาตมาบ้าง การอยู่ที่วัดชลประทานรังสฤษฎ์กับหลวงพ่อปัญญานันทะ ต้องตื่นตัวอยู่เสมอ ต้องเตรียมเรื่องเทศน์ไว้ ไม่มีใครทราบว่า ท่านจะเรียกให้เทศน์เมื่อไร ถ้าท่านเรียก ต้องเทศน์ได้ทันที ดีหรือไม่ดี เก็บไว้แก้ไขกันภายหลัง ตอนนั้นนับว่าสนุกสนานกับการฝึกแสดงธรรมมาก วันไหนพระเพื่อนๆ มีหลายรูป ภาคบ่ายหลังรับประทานอาหารเสร็จแล้วก็มาอภิปรายธรรมะกันอีก
    
เมื่อโครงการสามเณรภาคฤดูร้อนจบลง อาตมาขอลาท่านกลับชุมพร ท่านถามว่า จะทำอะไรต่อไป อาตมาบอกว่า อาจจะไปช่วยงานของท่านอาจารย์พระปลัดเสนอ สิริปัญโญ ปัจจุบันคือ พระเทพสิทธิมงคล ศิษย์ใกล้ชิดหลวงพ่อปัญญานันทะรุ่นแรกๆ ที่วัดตโปทาราม (วัดบ่อน้ำร้อน) จังหวัดระนอง โดยจะไปเป็นครูใหญ่โรงเรียนพระปริยัติธรรมสามัญ เพราะตอนนั้นอาตมาจบวิชาครูพ.ม.แล้ว หลวงพ่อฯ จึงบอกอาตมาว่า อายุยังน้อย อย่ารีบทำงานประจำอย่างนั้น ต้องเรียนให้จบปริญญาเสียก่อน เมื่อจบปริญญาแล้ว งานมากมายที่จะมีให้พระทำ อาตมาก็ตกลงปฏิบัติตามคำแนะนำที่ประกอบด้วยเมตตาของท่าน จึงกลับไปจังหวัดชุมพร รวบรวมเอกสารที่จำเป็นเพื่อสมัครสอบเข้าเรียนมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ท่าพระจันทร์ กรุงเทพมหานคร

อาตมานำวุฒิ พ.ม.และเปรียญธรรม 7 ประโยคมาสมัครเข้าเรียน คณะครุศาสตร์ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ปรากฏว่า มีผู้สมัครสอบและผู้เข้าสอบเพียงรูปเดียว ทุกวิชาต้องทำข้อสอบอย่างเต็มที่ มหาจุฬาฯ มิได้รับเข้าเรียนเลยโดยมิต้องสอบ ผลการสอบออกมาจำได้ว่า คะแนนรวมทุกวิชาได้ 87 เปอร์เซ็นต์ บางครั้งอาตมาก็พูดเล่นๆ กับเพื่อนๆ ว่า ผมสอบเข้าเรียนชั้นปีที่ 3 คณะครุศาสตร์ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยได้อันดับ 1 ของประเทศไทย เพราะมีผู้สมัครสอบเพียงรูปเดียว และสอบได้จึงนับเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย
    
ขอเล่าแบบรวบรัดตัดความว่า อาตมาใช้เวลาเรียนคณะครุศาสตร์ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยจบภายใน 2 ปี ด้วยเกรดเฉลี่ย  3.30 ไม่ได้เกียรติยมเพราะเรียนเพียงสองปี
    
วันที่ 5 กรกฎาคม 2565 เวลา 7.34 น.
วัดพุทธปัญญา เมืองโพโมน่า รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา

 




นำเสนอข่าวโดย : ภาณุพล รักแต่งาม,
แหล่งที่มาข่าวโดย : สยามทาวน์ยูเอส
12-07-2022 บันทึกไว้สมัยเรียนบาลี : ตอนที่ 50 สุดทางสายบาลี (0/2808) 
06-07-2022 บันทึกไว้สมัยเรียนบาลี : ตอนที่ 49 ฝึกฝนตนที่วัดชลประทานรังสฤษฎ์ (0/650) 
28-06-2022 บันทึกไว้สมัยเรียนบาลี : ตอนที่ 48 สอบได้แต่แม่เสีย (0/615) 
20-06-2022 บันทึกไว้สมัยเรียนบาลี : ตอนที่ 47 สอบเปรียญธรรม 7 ประโยคได้ (0/683) 
07-06-2022 บันทึกไว้สมัยเรียนบาลี : ตอนที่ 46 กราบหลวงพ่อปัญญานันทะ (0/671) 

แสดงความคิดเห็น

Name :

Detail :




ฉบับที่
597
siamtownus newspaper








Hots Clip VDO ดูทั้งหมด

ขออภัยสัญญาณ VDO มีปัญหากำลังดำเนินการแก้ไข