คงเพราะเรื่องนี้ ทำให้มีการบอกกล่าวผ่านกลุ่มไลน์ต่างๆ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ไม่ต้องเลื่อนเวลากลับหนึ่งชั่วโมง ก่อนเข้านอนคืนวันเสาร์ที่ 2 พฤศจิกายน... เพราะเขายกเลิกไปแล้ว
ใครเชื่อก็คงตื่นเร็วกว่าชาวบ้านหนึ่งชั่วโมงในวันอาทิตย์ หรือเผลอๆ วันจันทร์ ก็อาจจะไปทำงานเร็วกว่าเพื่อนชั่วโมงนึงด้วย...
ก็เลยเกิดคำถามต่อเนื่องมาว่า... ก็ในเมื่อ พร็อต 7 ผ่านความเห็นชอบจากชาวแคลิฟอร์เนียส่วนใหญ่แล้ว ทำไมจึงไม่มีผล
คำตอบคือการยกเลิก daylight saving time ยังมีขั้นตอนอีกเยอะ แถมไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ที่รัฐแคลิฟอร์เนียสามารถทำกันเองได้โดยลำพังอีกด้วย...
ที่ผ่านมาถือว่าผ่านพ้นไปเพียงขั้นตอนเดียว คือการขอฉันทานุมัติจากประชาชน (ผ่านการออกเสียงเลือกตั้งกันเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2018) ขั้นตอนต่อไปที่ยังไม่เกิดขึ้นคือ นักการเมืองของแคลิฟอร์เนียที่ซาคราเมนโต้ จะต้องเอาฉันทานุมัติดังกล่าวมาผลักดันให้ผ่านเป็นกฎหมาย ซึ่งข่าวว่ารัฐสภาที่ซาคราเมนโต้จะทำการพิจารณากันในราวเดือนมกราคม ปีหน้า... หากผ่านแล้วก็จะต้องนำเสนอต่อสภาคองเกรส ที่วอชิงตัน ดีซี อีกเป็นขั้นตอนสุดท้าย... หากคองเกรสไม่เอาด้วยก็จบ...
เท่าที่ทราบ นักการเมืองที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการผลักดันร่างกฎหมายว่าด้วยการยกเลิก daylight saving time ที่ซาคราเมนโต้ คือ ส.ส.เคนเซ่น ชู ของพรรคเดโมแครต จากซานโฮเซ่ โดยเขาบอกว่าโจนเข้ามาเป็นสปอนเซอร์ให้ร่างกฎหมายฉบับนี้เพราะเห็นว่าการเปลี่ยนเวลาปีละสองครั้งนั้น นอกจากเป็นภาระแล้ว ยังมีผลเสียตามมาอีกหลายอย่าง รวมถึงสถิติของจำนวนอุบัติเหตุที่เพิ่มขึ้นในช่วงสัปดาห์แรกหลัง spring forward ที่ทำให้เวลาหายไปหนึ่งชั่วโมง เพราะผู้คนยังง่วงงุ่น
ไม่ใช่แค่จำนวนอุบัติเหตุจะเพิ่มขึ้นเท่านั้น จำนวนคนหัวใจวาย หรือ heart attacks ก็เพิ่มขึ้นด้วยในช่วงเดียวกัน...
เอาเป็นว่าในเดือนมกราคม 2019 ส.ส.เคนเซ่น ชู จะยื่นเสนอร่างกฎหมายยกเลิก daylight saving time หรือร่างกฎหมาย เอบี 7 เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร หากผ่านก็จะเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภาต่อไป...
เท่าที่ติดตามข่าวมา เชื่อว่าร่างกฎหมาย เอบี7 น่าจะผ่านทั้งสองสภาของแคลิฟอร์เนียได้โดยไม่ยาก เพราะยังไงเสีย บรรดาผู้แทนก็ต้องฟังเสียงความฉันทามติของพวกเราที่แสดงออกอย่างชัดเจนไปแล้วเมื่อคราวเลือกตั้งปลายปีที่แล้ว... ปัญหาน่าจะอยู่ที่สภาคองเกรส ซึ่งจะเป็นผู้ตัดสินรอบสุดท้ายว่าจะยอมให้แคลิฟอร์เนียยกเลิกระบบเลื่อนเวลาปีละสองครั้งตามที่ต้องการไหม
อย่าลืมว่าอเมริกาทั้งประเทศ มีเพียงสองรัฐ คืออริโซน่าและฮาวายเท่านั้น ที่ไม่ใช้ระบบ daylight daving time หากมีการเปลี่ยนแปลงเวลาขึ้นมาก็คงจะต้องมีการปรับตัวกันวุ่นวาย ทั้งในแง่ของการสื่อสาร การนัดหมายธุรกิจการค้า เที่ยวบิน และอื่นๆ ทั้งระดับประเทศและระดับโลก
ฟังดูเหมือนกับโอกาสที่เรื่องนี้จะผ่านคองเกรสแทบเป็นไปไม่ได้....
แต่ข่าวดีก็คือว่ามีความพยายามของหลายฝ่าย ที่จะให้มีการยกเลิกระบบ daylight saving time ทั่วประเทศ โดย ส.ส.เคนเซ่น ชู บอกว่าขณะนี้มีร่างกฎหมายอย่างน้อยสี่ฉบับที่มีสาระคล้ายๆ กับกฎหมาย AB 7 ของแคลิฟอร์เนีย อยู่ระหว่างรอการพิจารณาอยู่ในคองเกรส
สามฉบับแรก เป็นของสภาผู้แทนราษฎร หรือสภาล่าง คือร่างกฎหมาย H.R. 1566 ที่เสนอให้อเมริกาปรับมาใช้เวลาเดียวตลอดปี (permanent daylight saving time) ซึ่งข่าวบอกว่าขณะนี้อยู่ระหว่างรอการพิจารณาของคณะกรรมาธิการพลังงานและการค้า ของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ
ร่างกฎหมายอีกสองฉบับของสภาล่าง คือ H.R. 1601 และ H.R. 2389 ทั้งสองฉบับมีสาระคล้ายๆ กัน คือให้อำนาจตัดสินใจกับทุกรัฐในการยกเลิกการเลื่อนเวลาไปมา ซึ่งทั้งสองฉบับอยู่ระหว่างการพิจาณาของคณะกรรมาธิการพลังงานและการค้า ของสภาผู้แทนราษฎรฯ เช่นกัน
ร่างกฎหมายฉบับที่สี่ อยู่ในวุฒิสภา (senate) ชื่อ S.670 ซึ่งข่าวบอกว่ามีเนื้อหาสาระแบบเดียวกันกับของสภาล่าง และอยู่ระหว่างรอการพิจารณาของคณะกรรมาธิการการค้า, วิทยาศาสตร์และการขนส่งของวุฒิสภา
โดยสภาครองเกรส มีเวลาจนถึงเดือนธันวาคม 2020 ในการพิจารณากฎหมายทั้งสี่ฉบับนี้...
นอกจากนี้ ข่าวบอกว่านอกจากแคลิฟอร์เนียแล้ว ยังมีรัฐอื่นๆ อีกอย่างน้อยหกรัฐ ที่มีแนวคิดแบบแคลิฟอร์เนีย และกำลังอยู่ระหว่างผลักดันร่างกฎหมายระดับรัฐอยู่
สอดคล้องกับผลสำรวจความเห็นประชาชนของสำนักข่าวเอพี ที่มีการนำเสนอเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ชาวอเมริกันจากทุกรัฐ 7 ใน 10 คน อยากให้ยกเลิกการหมุนเข็มนาฬิกาย้อนไปย้อนมากันเสียที โดย 4 ใน 10 ต้องการให้หยุดเวลาไว้ที่ “สแตนดาร์ดไทมส์” เป็นการถาวร ที่เหลืออีก 3 ใน 10 อยากได้เวลาเดย์ไลท์เซฟวิ่งไทม์
มีเพียง 3 ใน 10 เท่านั้น ที่แฮปปี้กับระบบ daylight saving time เอาไว้ เพราะเคยชินกับสิ่งที่ปฏิบัติมาตั้งแต่จำความได้กัน และไม่อยากให้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้น...
เชื่อว่าอย่างไรเสีย ระบบ daylight saving time ในอเมริกา ก็จะต้องยุติลง เพราะ “ความจำเป็น” ในการเลื่อนเวลาตามแนวคิดของ เบนจามิน เฟล็งกินส์ เมื่อกว่า 200 ปีก่อนโน้น ดูยังไงๆ ก็ไม่มีความจำเป็นอีกต่อไปแล้วในสมัยปัจจุบัน
เพียงแต่จะเป็นเมื่อไหร่เท่านั้น...