เอพี รายงานข่าวเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2025 ว่า กระทรวงความมั่นคงภายใน และศูนย์บริการเมดิแคร์และเมดิเคด (the Centers for Medicare and Medicaid Services) ได้บรรลุข้อตกลงเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (14 กรกฎาคม) ว่าจะมีการแบ่งปันฐานข้อมูลของผู้ใช้โปรแกรม เมดิเคด ทั่วประเทศ ซึ่งประเมินว่ามีมากถึง 97 ล้านคน เพื่อช่วยให้ ไอซ์ สามารถค้นหาที่อยู่ของชาวต่างชาติที่อยู่แบบผิดกฎหมายได้ง่ายขึ้น

เอพีบอกด้วยว่า การเปิดเผยข้อมูลด้านสุขภาพ ซึ่งเป็นข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนจำนวนมากกับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองครั้งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งขั้นตอนของการกวาดจับผู้อพยพแบบท้าทายขอบเขตกฎหมายของรัฐบาลทรัมป์ เพื่อให้จับกุมผู้อพยพให้ได้วันละ 3,000 คนตามโควต้าที่กำหนดไว้

"ไอซ์ จะใช้ข้อมูลของศูนย์บริการเมดิแคร์และเมดิเคด เพื่อให้ ไอซ์ สามารถชี้ตัวและรู้ที่อยู่ของต่างด้าวที่ไอซ์ ต้องการตัว" ข้อตกลง ระบุ

ทั้งนี้ เมดิเคด เป็นโปรแกรมประกันสุขภาพร่วมของรัฐบาลกลางและรัฐบาลของแต่ละรัฐ เพื่อให้ความคุ้มครองแก่ผู้มีรายได้น้อยและคนพิการ โดยผู้รับเมดิเคด จะต้องเป็นพลเมืองสหรัฐฯ หรือสามารถอยู่อาศัยถาวรอย่างถูกกฎหมายเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลของประธานาธิบดีทรัมป์ เชื่อว่ามีผู้อยู่ในประเทศแบบผิดกฎหมายจำนวนมาก สามารถเข้าถึงสวัสดิการที่สงวนไว้สำหรับพลเมืองอเมริกันได้ ดังเช่นที่ เทรซี่ แม็คลาฟลิน ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงภายใน แถลงผ่านอีเมล์ในประเด็นนี้ว่า ความร่วมมือของสองหน่วยงานมีขึ้นเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่า “ต่างด้าวที่เข้าเมืองผิดกฎหมาย ไม่ได้รับสวัสดิการ เมดิเคท ซึ่งควรเป็นสิทธิของพลเมืองอเมริกันที่ปฏิบัติตามกฎหมายเท่านั้น”

แม้จะเป็นสวัสดิการที่สงวนไว้เฉพาะพลเมืองของประเทศ แต่กฎหมายของรัฐบาลกลาง ได้กำหนดให้ทุกรัฐต้องมีสวัสดิการฉุกเฉิน เรียกว่า Emergency Medicaid สำหรับคุ้มครองชั่วคราวเฉพาะบริการที่ช่วยชีวิต หรือ lifesaving services ในห้องฉุกเฉินแก่ผู้มีรายได้น้อยทุกคน รวมถึงผู้ที่ไม่ใช่พลเมืองสหรัฐฯ ด้วย ดังนั้น กลุ่มผู้อพยพที่เคยใช้สวัสดิการแบบฉุกเฉินนี้ คือกลุ่มคนที่กำลังอยู่ในสภาพเสี่ยง

นอกจากนี้ แคลิฟอร์เนีย และอีกหกรัฐที่ปกครองโดยผู้บริหารจากพรรคเดโมแครต คือนิวยอร์ก, วอชิงตัน, โอเรก้อน, อิลลินอยส์, มินนีโซต้า และโคโลราโด้ ยังอนุญาตให้ผู้ที่ไม่ได้เป็นพลเมือง หรือยังไม่สามารถอยู่อย่างถาวร สมัครเข้าร่วมโปรแกรมเมดิเคด ภายใต้เงื่อนไขบางอย่าง เช่นอายุ ความพิการ ฯลฯ ได้  อันเป็นความพยายามเพื่อให้ประชากรทุกกลุ่ม สามารถเข้าถึงสวัสดิการของรัฐได้ ซึ่งคนกลุ่มนี้ก็อยู่ในสภาพเสี่ยงจากข้อตกลงระหว่างศูนย์เมดิแคร์ฯ กับไอซ์ เช่นกัน

ในส่วนของแคลิฟอร์เนียนั้น มีโปรแกรมประกันสุขภาพเรียกว่า เมดิ-แคล (Medi-Cal) สำหรับผู้ไม่มีเอกสารแสดงตัวที่อายุต่ำกว่า 26 ปี หรือสูงกว่า 65 ปีขึ้นไป

ข่าวอ้างความเห็นของ ฮานน่าห์ เคทช์ อดีตที่ปรึกษาของศูนย์บริการเมดิแคร์ฯ ในสมัยรัฐบาล โจ ไบเดน ด้วยว่าไม่น่าเชื่อว่าศูนย์บริการเมดิแคร์ฯ จะทำลายความไว้วางใจของประชาชนด้วยวิธีนี้ และว่าข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ที่ลงทะเบียนกับโปรแกรมเมดิเคด ไม่เคยถูกแชร์ออกนอกหน่วยงาน เว้นแต่จะใช้ในการบังคับใช้กฎหมาย เช่น การสอบสวนการใช้จ่ายที่ไม่ถูกต้อง การทุจริต หรือการละเมิดโปรแกรม ฯลฯ

ข่าวบอกว่าการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวเช่นนี้ เชื่อว่าจะสร้างความตื่นตระหนกในกลุ่มคนที่ต้องการความช่วยเหลือทางการแพทย์ฉุกเฉิน ทั้งสำหรับตัวเองหรือบุตรหลาน เช่นเดียวกับกระแสตื่นตระหนกที่เกิดขึ้นที่โรงเรียน โบสถ์ ศาล และแหล่งงานต่างๆ จากความพยายามของไอซ์ ที่กำลังเร่งกวาดจับผู้เข้าเมืองผิดกฎหมายตามโควต้า วันละ 3,000 คนของทรัมป์ 

ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าขณะนี้มีการแบ่งปันข้อมูลส่วนบุคคลของผู้รับเมดิเคด เกิดขึ้นหรือยัง.