ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้สั่งซื้อแผ่นโลหะเปล่าสำหรับผลิตเหรียญเพนนีเป็นครั้งสุดท้ายในเดือนนี้ โดยโรงกษาปณ์ของสหรัฐ ซึ่งเป็นผู้ผลิตเหรียญ จะยังคงเดินหน้าผลิตเหรียญเพนนีต่อไปจนกว่าแผ่นโลหะเปล่าดังกล่าวที่มีอยู่ในสต็อกจะหมดลง

การยุติการผลิตเหรียญเพนนีมีสาเหตุจากความต้องการใช้เหรียญดังกล่าวได้ลดลงอย่างมาก และต้นทุนในการผลิตเหรียญ 1 เซนต์ได้เพิ่มสูงขึ้นจนแพงกว่ามูลค่าของเหรียญ

ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ต้นทุนในการผลิตเหรียญเพนนีเพิ่มขึ้นจากประมาณ 1 เซนต์ สู่ระดับ 4 เซนต์ต่อเหรียญ ขณะที่มีการคาดการณ์ว่า การยุติการผลิตเหรียญเพนนีจะช่วยลดต้นทุน และประหยัดค่าใช้จ่ายของโรงกษาปณ์ได้ถึง 56 ล้านดอลลาร์ต่อปี

ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้เคยผลักดันให้ยุติการผลิตเหรียญเพนนี โดยเขาได้ออกคำสั่งดังกล่าวในเดือนกุมภาพันธ์ ถึงนายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ โดยให้เหตุผลว่าต้นทุนในการผลิตเหรียญเพนนีสูงกว่ามูลค่าของเหรียญ

แม้ว่าสภาคองเกรสจะเป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการผลิตเงินตราสหรัฐ และสามารถยกเลิกเหรียญได้ แต่กระทรวงการคลังมีอำนาจในการยุติการผลิตเหรียญใหม่ได้โดยตรง

รายงานของธนาคารกลางสหรัฐ ระบุว่า ชาวอเมริกันใช้เงินสดน้อยลงอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2023 เงินสดถูกใช้เป็นวิธีชำระเงินเป็นลำดับที่ 3 คิดเป็น 16 เปอร์เซ็นต์ ของธุรกรรมทั้งหมด ลดลงจาก 18 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2022

เมื่อการผลิตเหรียญเพนนียุติลงจนไม่มีเพนนีหมุนเวียนเพียงพอสำหรับการซื้อขายด้วยเงินสด ธุรกิจต่างๆ จะต้องปัดราคาให้ใกล้เคียง 5 เซนต์ โดยเหรียญ 5 เซนต์ หรือที่เรียกว่า เหรียญนิกเกิล จะกลายเป็นเหรียญที่มีมูลค่าต่ำสุด หากไม่มีเหรียญเพนนีในตลาดอีกต่อไป ส่วนการดำเนินธุรกรรมแบบออนไลน์โดยไม่ใช้เงินสดยังคงสามารถชำระแบบจำนวนที่แน่นอนได้

เหรียญเพนนีเป็นหนึ่งในเหรียญชุดแรกที่ผลิตโดยโรงกษาปณ์สหรัฐหลังการก่อตั้งในปี 1792 โดยรูปแบบเหรียญในยุคแรกเป็นภาพผู้หญิงผมยาวพลิ้ว แสดงถึงเสรีภาพ โดยเหรียญในยุคนั้นมีขนาดใหญ่และทำจากทองแดงบริสุทธิ์ ส่วนเหรียญเพนนีในปัจจุบันมีขนาดเล็กลงและผลิตจากทองแดงผสมสังกะสี