ซีเอ็นเอ็น รายงานเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาถึงรายงานประจำปีว่าด้วยดัชนีค่าครองชีพโลก หรือ Worldwide Cost of Living Index จัดทำโดย the Economist Intelligence Unit (EIU) สำนักงานวิจัยและวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับการยอมรับสูงสุดแห่งหนึ่ง ที่บอกว่าผู้คนทั่วโลก กำลังรู้สึกได้ถึง “วิกฤตค่าครองชีพ” ที่ทวีความรุนแรงขึ้นในปีนี้ และยังไม่วี่แววว่าจะคลี่คลาย

รายงานของ EIU บอกว่าค่าครองชีพทั่วโลกในปีนี้ เพิ่มสูงขึ้นจากปีที่แล้วโดยเฉลี่ย 7.4 เปอร์เซ็นต์ โดยราคาสินค้าโกรเซอร์รี่ เป็นหมวดที่เพิ่มเร็วที่สุด ขณะที่หมวดค่าสาธารณูปโภค (เช่นไฟฟ้า ประปา แก๊ส) ที่เคยเพิ่มสูงสุดในปี 2022 กลับได้รับผลกระทบจากสภาวะเงินเฟ้อน้อยสุดในปีนี้

รายงานชี้ด้วยว่า ดัชนีค่าครองชีพโลก กำลังชลอตัวลงแล้ว เพราะปัญหาห่วงโซ่อุปทาน หรือ supply chain เริ่มคลี่คลาย หลังจากที่จีนได้ยกเลิกมาตรการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมการระบาดของโควิด-19 มาตั้งแต่ปลายปี 2022

นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายประเด็นที่ผลักดันให้ดัชนีค่าครองชีพโลกสูงขึ้นในระยะนี้ เช่นปัญหาสงครามระหว่างอิสราเอล-ฮามาส ที่ส่งผลกระทบให้ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น และผลกระทบจากปรากฎการณ์เอลนีโญ (El Niño) ที่จะผลักดันให้ราคาอาหารเพิ่มขึ้นด้วย

อย่างไรก็ตาม ดัชนีค่าครองชีพจะแตกต่างกันในแต่ละเมือง โดยเมืองใหญ่ที่รายงานของ EIU บอกว่ากำลังเผชิญ “วิกฤตค่าครองชีพ” ในปีนี้ คือ

1. ซูริค (สวิตเซอร์แลนด์) และสิงคโปร์ (เสมอ)
3. เจนีวา (สวิตเซอร์แลนด์) และนิวยอร์ก (เสมอ)
5. ฮองกง
6. ลอส แอนเจลิส
7. ปารีส
8. Tel Aviv (อิสราเอล) และโคเปนเฮเก้น (เดนมาร์ก) (เสมอ)
10. ซานฟรานซิสโก.