ผลการเลือกตั้งท้องถิ่นของ 4 รัฐ ได้แก่ เคนทักกี, เวอร์จิเนีย, มิสซิซิปปี้ และ นิวเจอร์ซี เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน นั้น ผลการเลือกตั้งที่ถือว่าพลิกความคาดหมายที่สุด คือผลการเลือกตั้งผู้ว่าการรัฐเคนทักกี ซึ่งเป็นรัฐฐานเสียงสำคัญของประธานาธิบดีทรัมป์ เพราะตัวแทนจากพรรคเดโมแครต แอนดี้ เบเชียร์ เฉือนชนะ แมท เบวิน ผู้ว่าการรัฐคนปัจจุบันจากพรรครีพับลิกันไปแบบฉิวเฉียด

โดยซีเอ็นเอ็น รายงานว่า การเลือกตั้งผู้ว่าการรัฐเคนทักกี แสดงได้ถึงความพ่ายแพ้ครั้งสำคัญของ พรรครีพับลิกัน เพราะที่ผ่านมา พรรคนี้ได้ครองเสียงข้างมากทั้งในเวทีการเมืองระดับท้องถิ่นและเวทีการเมืองระดับชาติมาโดยตลอด กล่าวคือได้ครองเก้าอี้วุฒิสมาชิก 2 ตำแหน่ง และเก้าอี้สภาผู้แทนราษฎรถึง 5 ที่นั่งจาก 6 ตำแหน่ง นอกจากนี้ยังเป็นรัฐที่รีพับลิกันได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีติดต่อกันถึง 5 ครั้ง รวมถึงครั้งที่ผ่านมา ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์ ได้รับชัยชนะเหนือ ฮิลลารี คลินตัน ด้วยคะแนนเสียงทิ้งขาดถึง 63% ต่อ 33%

รายงานระบุว่า แม้ว่าความพ่ายแพ้ของพรรครีพับลิกันในรัฐเคนทักกี อาจมีสาเหตุมาจากความนิยมส่วนบุคคลของประชาชนเอง ตั้งแต่ที่นายแมท เบวิน ผู้ท้าชิง มีปัญหาขัดแย้งกับสหภาพแรงงานและถือว่าเป็นผู้ว่าการรัฐที่ได้รับความนิยมน้อยที่สุดในประเทศ แต่ก็น่าสนใจว่า กระแสความนิยมของประธานาธิบดีทรัมป์ ในรัฐเคนทักกี้จะถดถอยลงมากน้อยเพียงใด

ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีสหรัฐฝีปากกล้า ได้กล่าวปราศรัยต่อหน้ามวลชนในช่วงเวลาหาเสียงโค้งสุดท้ายก่อนการลงคะแนนในรัฐเคนทักกี้ กล่าวว่า “หากพรรคพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ผมจะถูกเย้ยหยันว่าเป็นความพ่ายแพ้ที่น่าอับอายที่สุดในประวัติศาสตร์ของทรัมป์ พวกคุณปล่อยให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับตัวผมไม่ได้”

ขณะที่ สมาชิกพรรครีพับลิกันหลายคนก่อนหน้านี้แทบไม่เคยวิจารณ์การกระทำใดๆของนายทรัมป์ เนื่องจากเห็นว่ากระแสความนิยมของประชาชนยังอยู่ในระดับที่ดี โดยเฉพาะจากกลุ่มอนุรักษ์นิยม ซึ่งเป็นฐานเสียงที่สำคัญในการเลือกตั้ง 2020

ข่าวบอกว่า ผลการเลือกตั้งที่ออกมาครั้งล่าสุดนี้ อาจทำให้ สมาชิกพรรครีพับลิกันหลายคน ที่ไม่เคยวิจารณ์การกระทำใดๆ ของนายทรัมป์ต้องกลับมาคิดทบทวนใหม่ ซึ่งข่าวบอกว่าปฏิกริยาของสมาชิกพรรครีพับลิกันต่อ นายโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประเด็นที่น่าจับตามองว่าจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร

ทั้งนี้ ผลการเลือกตั้งผู้ว่าการรัฐเคนทักกี, การเลือกตั้งสภานิติบัญญัติรัฐเวอร์จิเนีย ซึ่งพรรคเดโมแครตสามารถครองเสียงข้างมากได้เป็นครั้งแรกในรอบ 25 ปี รวมถึงการเลือกตั้งสภาคองเกรสเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ทำให้พรรคเดโมแครตสามารถคว้าเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรได้ ซึ่งหลายๆ เสียงก็ต่างคาดเดากันว่า เป็นการส่งสัญญาณเป็นนัยๆ ว่า “โดนัลด์ ทรัมป์ อาจไม่ได้เป็นประธานาธิบดีในสมัยที่ 2”