สำนักข่าวอินโฟเควสท์ เปิดเผยเมื่อวันที่ 11 กันยายน ระบุว่า การปลูกกัญชง (Hemp) ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากทั่วโลกในปีนี้ โดยเฉพาะในสหรัฐ มีถึง 46 รัฐที่มีไร่กัญชงที่ได้รับใบอนุญาต นับตั้งแต่กฎหมาย Farm Bill ของสหรัฐผ่านความเห็นชอบในเดือนธันวาคม 2008 ดังนั้นตลาดสหรัฐเพียงแห่งเดียวก็มีศักยภาพมหาศาลแล้ว (8.5 พันล้านดอลลาร์) แต่กลับไม่มีการติดตั้งอุปกรณ์แปรรูปมากพอเพื่อมาจะจัดการกับกัญชง 90 เปอร์เซ็นต์ที่เก็บเกี่ยวได้ในปีนี้ จึงมีความวิตกว่า กัญชงมูลค่า 7.5 พันล้านดอลลาร์จะถูกปล่อยให้แห้งตายคาต้นในไร่ของเกษตรกรในฤดูใบไม้ร่วงปีนี้
สารสกัด CBD เป็นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีการเติบโตเร็วที่สุดกลุ่มหนึ่ง โดยเห็นได้จากมีการปลูกกัญชงในพื้นที่ 128,000 เอเคอร์ เฉพาะในปีนี้ปีเดียว ถือว่าเพิ่มขึ้น 300 เปอร์เซ็นต์ จากปีก่อน และกัญชง 1 เอเคอร์สามารถผลิตน้ำมัน CBD ได้ 165 ปอนด์ มูลค่าตลาดราว 66,000 ดอลลาร์ เทียบกับกัญชงที่ปลูกเพื่อผลิตเป็นเส้นใย ในพื้นที่เท่ากัน คือ 1 เอเคอร์ จะทำรายได้ได้เพียง 850 ดอลลาร์เท่านั้น ถือเป็นมูลค่าที่แตกต่างกันอย่างมาก
แต่น่าเสียดายที่อุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการแปรรูปกัญชงให้เป็นน้ำมัน CBD ก่อนที่กัญชงจะเสียหายนั้นมีไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ของผลผลิต ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับเกษตรกรในการเปลี่ยนกัญชงให้เป็นเงิน
ธนาคารต่างๆ มีความวิตกอย่างมากว่า สถาบันประกันเงินฝากแห่งชาติของสหรัฐ (FDIC) จะลงโทษธนาคารที่ให้การสนับสนุนบุคคลใดก็ตามที่ใช้คำว่า "กัญชา" (Cannabis) ในห่วงโซ่อุปทาน และเนื่องจากกัญชงเป็นพืชตระกูลหนึ่งในกัญชา ธนาคารจึงจะไม่ให้สินเชื่อแก่อุปกรณ์แปรรูป
โรเจอร์ ค็อกรอฟท์ ซีอีโอของ Delta Separations กล่าวว่า "CBD ที่สกัดได้จากกัญชงเป็นอุตสาหกรรมใหม่ที่มีการเติบโตมหาศาลสำหรับสหรัฐ แต่ในปีนี้ ซึ่งเป็นปีที่ถูกต้องตามกฎหมายอย่างสมบูรณ์เป็นครั้งแรกของอุตสาหกรรมนี้ กำลังจะกลายเป็นฝันร้ายสำหรับหลายคน เพราะธนาคารขนาดใหญ่ต่างหวาดวิตก และจะไม่สนับสนุนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เพราะพวกเขาได้ยินคำว่า 'กัญชา' แม้ว่ากัญชงจะถูกกฎหมายในระดับรัฐอย่างสมบูรณ์แล้วก็ตาม และเนื่องจากศักยภาพในการแปรรูปในสหรัฐอยู่ในระดับต่ำ จึงมีความเป็นไปได้สูงมากว่า กัญชงจำนวนถึง 90% ของที่ปลูกไว้อาจจะแห้งตายคาต้นเมื่อผลผลิตออกมา และนั่นอาจหมายถึงการขาดทุนถึง 7.5 พันล้านดอลลาร์"
.
.