'Let's finish the job’ คือคำกล่าวของประธานาธิบดีไบเดน และเป็น “วรรคทอง” ที่สื่อมวลชนส่วนใหญ่ เลือกเอามาใช้พาดหัวข่าวนี้

หากเขาทำได้สำเร็จอีกครั้ง โจ ไบเดน ก็จะกลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่มีอายุมากที่สุดในประวัติศาสตร์ คืออายุ 83 ปีในวันสาบานตัวเข้ารับตำแหน่ง และหากปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ สมัยที่สองได้ครบเทอมสี่ปี เขาก็จะมีอายุ 86 ปีเต็มในวันพ้นตำแหน่ง เดือนมกราคม 2029

โดยลำดับอายุของประธานาธิบดีคนเด่นๆ ของสหรัฐฯ ในวันเข้าพิธีสาบานตัว ตั้งแต่น้อยไปหามาก คือ

บิล คลินตัน (46 ปี )
บาร์รัก โอบาม่า (47 ปี)
จิมมี คาร์เตอร์ (52 ปี)
จอร์จ ดับเบิลยู บุช (54 ปี)
จอร์จ เอช.ดับเบิลยู บุช (64 ปี)
โรนัลด์ เรแกน (69 ปี)
โดนัลด์ ทรัมป์ (70 ปี)
โจ ไบเดน (78 ปี)

จะเห็นได้ว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เป็นคนแย่งตำแหน่งประธานาธิบดีที่อายุมากที่สุด มาจากโดนัลด์ ทรัมป์ ที่อายุ 70 ปีขณะสาบานตัวเข้ารับตำแหน่งเมื่อปี 2017

และหากว่าทรัมป์ ซึ่งประกาศตัวแล้วเช่นกันว่าจะขอเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกัน ลงสนามเลือกตั้งประธานาธิบดีปีหน้า เกิดชนะการเลือกตั้งขึ้นมาจริงๆ เขาก็จะกลายเป็นประธานาธิบดีที่อายุมากเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกา

ข่าวบอกว่าการประกาศตัว ขอเป็นประธานาธิบดีสมัยที่สองของไบเดนนั้น ไม่ได้รับเสียงตอบรับดีเท่าที่ควรจากพลพรรคเดโมแครต เพราะผลโพลล์ล่าสุดของ เอพี และศูนย์เอ็นโออาร์ซี พบว่าไบเดนได้รับเสียงสนับสนุนจากชาวเดโมแครตเพียง 47 เปอร์เซ็นต์ หรือเพียง 26 เปอร์เซ็นต์ของชาวอเมริกันทั้งหมด

ด้วยวัยที่ถูกมองว่าเป็น “จุดอ่อน” นั้น ทีมงานหาเสียงของประธานาธิบดีไบเดน พยายามแก้เกมว่าไบเดนเป็นผู้อาวุโสที่มีสุขภาพดีเยี่ยม รวมถึงบอกว่ากับอายุ 79 ปีในเวลานี้ ถือได้ว่าไบเดนมีอายุยืนกว่าอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ คือ 33 คน จากทั้งหมด 45 คนแล้ว

ระหว่างโจ ไบเดน และโดนัลด์ ทรัมป์ ใครจะเป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับสหรัฐฯ อีกไม่นานเราก็จะทราบกัน...