งานเต้นรำวันตรุษจีน เมื่อวันเสาร์ที่ 21 มกราคม ที่ ไลไล บอลล์รูม แอนด์ สตูดิโอ ในอัลฮัมบรา ปีนี้ น่าจะไม่คึกคักคักนัก เพราะในเวลาประมาณสี่ทุ่มครึ่ง หรือก่อนงานเลิกเพียงครึ่งชั่วโมง มีนักเต้นรำที่ยังอ้อยอิงกันอยู่บนฟลอร์เพียงแค่ 3-4 คนเท่านั้น

“แบรนดอน เซ” ทายาทรุ่นที่สามของครอบครัวที่เป็นเจ้าของฮอลล์เต้นรำแห่งนี้ เล่าว่าเขากำลังนั่งอยู่ที่ออฟฟิศใกล้ล็อบบี้ มองไปที่ฟลอร์เต้นรำ ตอนได้ยินเสียงประตูหน้า (ที่เปิดค้างเอาไว้) ถูกปิด ตามมาด้วยเสียงโลหะกระทบกัน

เมื่อหันมามอง ก็เห็นปืนกึ่งอัตโนมัติ จี้มาที่เขา

“เขามองผม แล้วก็มองไปรอบๆ เห็นได้ชัดว่าเขามีเจตนาร้าย ตาเขาดุมาก” แบรนดอน เซ หนุ่มวัย 26  ปี ให้สัมภาษณ์นิวยอร์กไทมส์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา...

ย้อนเวลาไปประมาณ 20 นาทีก่อนหน้านั้น มือปืนที่พร้อมจะสาดกระสุนใส่ แบรนดอน เซ คนนี้ ได้บุกเข้าไปในฮอลล์เต้นรำ สตาร์ บอลล์รูม แดนซ์ สตูดิโอ ในเมืองมอนเทอเรย์ปาร์ค แล้วกราดยิงสังหารผู้คนในงานเต้นรำวันตรุษจีนที่นั่นไปถึงสิบคน มีผู้บาดเจ็บอีกสิบคน... ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สังหารหมู่ที่ร้ายแรงที่สุดที่เคยเกิดขึ้นในแคลิฟอร์เนีย

จากนั้น มือปืน ซึ่งทราบชื่อภายหลังว่า ฮูเกิ่น เจิ่ง (Huu Can Tran) วัย 72 ปี ก็ขับรถขึ้นเหนือมาอีกประมาณสองไมล์ โดยเป้าหมายคือ ไลไล บอลล์รูม แอนด์ สตูดิโอ ฮอลล์เต้นรำที่มีปาร์ตี้ตรุษจีนอีกแห่งหนึ่ง

แต่โชคดี ที่บริเวณล็อบบี้ของไลไลฯ มี แบรนดอน เซ ยืนอยู่

แบรนดอน เซ พูดถึงอาวุธปืนกึ่งอัตโนมัติในมือของ ฮูเกิ่น เจิ่ง ว่า ส่อชัดว่าเขาตั้งใจมา “ฆ่าคนให้ได้มากที่สุด”

“ดูจากปืนและการดัดแปลง (customized) ผมรู้ว่าไม่ใช่สำหรับปล้นเงินแน่นอน” แบรนดอน เซ พูด และว่า “จากภาษาร่างกาย จากสีหน้า จากสายตา ผมรู้ว่าเขากำลังมองหาเหยื่อ”

นั่นทำให้ แบรนดอน เซ คิดว่าเขาคงต้องตายแน่ๆ

แต่ด้วยสิ่งที่ชายหนุ่มเรียกว่า “สัญชาตญาณดิบ” ทำให้เขาตัดสินใจกระโจนเขาแย่งปืนจาก ฮูเกิ่น เจิ่ง ที่แม้จะอายุมากกว่า แต่ด้วยฤทธิคลั่ง ทำให้เรื่องไม่ง่ายเหมือนคิด เพราะสุดท้ายแม้จะสามารถแย่งปืนอานุภาพสูงได้สำเร็จ แต่ในช่วงนาทีครึ่งที่ยื้อยุดกันอยู่นั้น ชายหนุ่มก็ถูกฟาดและกระแทกด้วยปืนที่ใบหน้าและลำตัวหลายครั้ง

แบรนดอน เซ เล่าต่อไปว่า ด้วยปืนที่ถืออยู่ในมือ เขาตะโกนไล่ชายแก่คลั่งให้ออกไป

“แต่เขายืนมองผมอยู่แบบนั้น จนผมกลัวว่าจะต้องยิงเขาจริงๆ หากเขาพุ่งเข้ามา” ชายหนุ่มเล่า

แต่ที่สุด ฮูเกิ่น เจิ่ง ก็ตัดสินใจเดินกลับออกไปขึ้นรถตู้สีขาว และขับออกไป

โดยบ่ายวันรุ่งขึ้น (อาทิตย์ที่ 22 มกราคม) เจ้าหน้าที่พบร่างไร้วิญญาณของมือปืนเฒ่าในรถตู้ ที่จอดอยู่ในเมืองทอร์แรนซ์ ห่างออกไปจากอัลฮัมบราอีกประมาณ 30 ไมล์ โดยสันนิษฐานในเบื้องต้นว่าเป็นการฆ่าตัวตาย

การตัดสินใจพุ่งเข้าแย่งปืนจากมือปืนคลั่งครั้งนี้ ทำให้ แบรนดอน เซ ได้รับการเรียกขานจากผู้รักษากฎหมายว่า “ฮีโร่” เพราะนอกจากจะป้องกันชีวิตตัวเองและนักเต้นรำบนฟลอร์ของไลไล บอลล์รูมฯ ได้แล้ว ยังอาจเป็นการป้องกันโศกนาฎกรรม ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นที่อื่นในคืนนั้นได้อีกด้วย

แบรนดอน เซ บอกด้วยว่า เขารู้สึกย่ำแย่มากๆ เพราะนอกจากเหตุการณ์ “เฉียดตาย” ที่ตัวเองต้องเผชิญหน้าแล้ว ยังรู้สึกเจ็บปวดกับข่าวโศกนาฎกรรมที่เกิดขึ้นกับชุมชนของเขาในเมืองมอนเทอเรย์ปาร์ค ด้วย

ถามถึงความรู้สึก ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น “ฮีโร่”

“หลายๆ คนบอกว่าผมกล้าหาญที่รับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ทราบไหม ความกล้าหาญไม่ใช่ความไม่กลัวตาย แต่มันคือความสามารถเปลี่ยนความกลัวเป็นความกล้า ในสถานการณ์วิกฤตแบบนี้ ผู้คนต้องการความกล้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เหยื่อ และเพื่อนฝูง ครอบครัว ผมขอส่งใจให้กับทุกๆ คนที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งทุกคนในสตาร์ แดนซ์ สตูดิโอ และชาวมอนเทอเรย์ปาร์ค ผมหวังว่าพวกเขาจะพบความกล้าหาญและความแข็งแกร่ง เพื่อให้ผ่านพ้นไปได้” แบรนดอน เซ ตอบ...


….