ข่าวคนไทยในอเมริกา
บุคคลหน้าสาม : รู้จัก “หน่อย ชดิลลดา” ผู้ต้องหา “โกงภาษี” แห่งร้านอาหารใบตอง


“หน่อย” ชดิลลดา ลภางกูร




ข่าวการยอมรับผิดตามข้อหาฉ้อโกงภาษี อันเป็นข้อหาอาญาร้ายแรงของสองสามีภรรยา “หน่อย” ชดิลลดา ลภางกูร และ “พี่แจ้” พรชัย ชัยสีห์ หุ้นส่วนของร้าน “ใบตอง” ซึ่งเป็นร้านอาหารไทยชื่อดังในเมืองซีแอตเติล รัฐวอชิงตัน ตามที่ปรากฎบนหน้าหนึ่งของสยามทาวน์ยูเอส ฉบับนี้ ย่อมทำให้ผู้อ่านส่วนใหญ่ ที่ไม่ได้รู้จักมักคุ้นกับ “ผู้ต้องหา” หรือไม่เคยประกอบธุรกิจร้านอาหารไทยในอเมริกา สามารถด่วนสรุปได้อย่างง่ายดายทันทีว่า นี่คือตัวอย่างของผลจากการ “คิดไม่ซื่อ” กับวิชาชีพ เป็นผลกรรมจากการ “ฉ้อโกง” ที่สมควรได้รับโทษให้สาสม ฯลฯ


แต่ในความจริงแล้ว บุคคลในแวดวงร้านอาหารไทยในอเมริกา ย่อมทราบกันดีว่าต้นเหตุจริงๆ ที่นำมาซึ่งความผิดอันรุนแรงตามข่าวที่ปรากฎนั้น ไม่ได้เลวร้าย หรือส่อให้เห็นว่าสองสามีภรรยาเป็นคนขี้โกง จ้องเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นเลย

ทั้งหมดเป็นการพยายามต่อสู้เพื่อเอาตัวรอดในการทำธุรกิจร้านอาหารไทยในอเมริกา ซึ่งบางจังหวะ ก็ “ไม่ง่ายดาย” เอาเสียเลย

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2019 “หน่อย ชดิลลดา” ได้อาสาเป็นสปีกเกอร์ บอกเล่าประสบการณ์ของการถูกตรวจสอบและถูกตั้งข้อหาฉ้อโกงภาษี ให้กับกลุ่มนักธุรกิจและผู้สนใจในงาน The Thai Professional Day 2019 ในเมืองเรนตัน รัฐวอชิงตัน ซึ่งเป็นงานใหญ่ที่จัดโดยสมาคมไทยแห่งรัฐวอชิงตัน

เธอแสดงความกล้าหาญ และนำประสบการณ์ที่เกิดขึ้นมาเล่าสู่เป็นอุทธาหรณ์ให้กับนักธุรกิจร้านอาหารรายอื่นๆ ได้รับรู้ อีกทั้งเนื้อหาทั้งหมดไม่ใช่เป็นการแก้ตัว แต่เป็นการยอมรับความผิดพลาดอย่างกล้าหาญ และน่าชื่นชมอย่างยิ่ง

เธอบอกว่าการถูกตรวจสอบ หรือถูกกล่าวหาว่าฉ้อโกงภาษี ไม่ใช่เรื่องสนุกที่ใครๆ อยากจะออกมาบอกเล่าหรือแบ่งปันประสบการณ์กัน เพราะเหมือนการประจานตัวเอง แต่เธอและสามีอยากจะทำ เพราะเห็นพ้องกันว่าจะเป็นประโยชน์ต่อคนไทยที่อยู่ในอาชีพนี้อีกเป็นจำนวนมาก

คุณหน่อยเริ่มต้นโดยการบอกเล่าถึงประวัติของร้านใบตองว่า เริ่มต้นจาก “คุณแม่” อดีตแอร์โฮสเตสของการบินไทยฯ ที่ตั้งใจเปิดร้านอาหารไทยเล็กๆ ขึ้นมาเพื่อรองรับลูกเรือของการบินไทย ในสมัยที่ยังบินมาซีแอตเติล ก่อนที่เธอและสามีจะเข้ามาสานต่อ และขยายกิจการออกไปอีก 7-8 สาขาในภายหลัง

ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น ทั้งเรื่องงานและเรื่องครอบครัว มีสามีที่เป็นผู้นำที่ดี มีลูกชายน่ารักถึงสองคน

กระทั่งวันหนึ่ง ที่เธอถูกเจ้าหน้าที่ของ ไออาร์เอส บุกมาถึงบ้าน....

“อยากให้ทุกคนหลับตาคิดตามว่าทุกคนเป็นหน่อย ที่ชีวิตถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี เรียนหนังสือมาอย่างดี ทำร้านมาอย่างดี แล้วอยู่มาวันหนึ่ง เช้าวันหนึ่งประมาณสองปีที่แล้ว เดือนสิงหาคม มองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นรถไม่ต่ำกว่าสิบคัน เข้ามาจอดหน้าบ้าน มีคนวิ่งลงมาจากรถ ถือปืนนะ แล้วก็ใส่เสื้อกันกระสุน มาแบบในหนังเลย ตอนนั้นเขาก็วิ่งเข้ามาในบ้าน มาเคาะประตู หน่อยก็คิดว่ามันต้องมีอะไรแถวบ้านแน่ๆ เลย ยิงกันหรือมีโจรแอบเข้ามาอยู่ในบ้าน หน่อยก็รีบวิ่งไปเปิดประตู แล้วพอเปิดประตูเขาก็ถามว่ามีใครอยู่ในบ้านบ้าง ก็บอกว่ามีสามี ลูกสองคน แล้วก็มีน้องๆ ที่อยู่ในบ้านด้วยอีก 2-3 คน เขาก็วิ่งเข้าไปเอาทุกออกมา มารอกันอยู่หน้าบ้าน แล้วก็มีทีมๆ หนึ่งถือปืนนะ กันเราไว้อยู่ ประมาณว่ากลัวเราวิ่งหนี อีกทีมเข้าไปในค้นในบ้าน ประหนึ่งว่าบ้านเรามีอาวุธสงคราม ยาเสพติดหรือเงินเป็นล้านๆ อะไรแบบนั้น”

เมื่อไม่พบสิ่งที่คาดว่าจะมีในบ้าน เจ้าหน้าที่ของ ไออาร์เอส ก็เริ่มสัมภาษณ์ผู้คนในบ้านทีละคน เริ่มจากสามีของเธอก่อน จากนั้นก็มาถึงคิวของเธอ

“เขาแยกสัมภาษณ์นะคะ คนที่สัมภาษณ์หน่อยบอกหน่อยว่ายูมีสิทธิ์ที่จะไม่พูดและมีสิทธิ์ติดต่อทนายได้ หน่อยก็บอกว่าเอางี้ เพราะไม่รู้ว่าเรื่องอะไร ยูมาทำไม เพราะยูไม่บอกฉันด้วย ฉันก็ขอติดต่อทนายแล้วกัน ตอนนั้นไม่มีทนาย แต่ ซีพีเอ เคยแนะนำทนายให้คนหนึ่ง ก็เลยโทรหาทนายคนนี้”

เจ้าของร้านใบตอง เล่าต่อว่าทนายขอให้หยุดการสัมภาษณ์ทั้งหมด แต่การสัมภาษณ์สามีของเธอผ่านไปแล้วประมาณสิบนาที

“คือพี่แจ้เขาอยากจะโชว์ว่าเขาร่วมมือเต็มที่นะ รู้อะไรก็พูดไป ซึ่งมารู้ทีหลังว่าสิ่งที่พี่แจ้ตอบน่ะ เพราะเราแยกงานกันชัดเจน พี่แจ้ไม่รู้เรื่องงานบัญชีภาษีอะไรเลย เขาก็ตอบตามที่เขารู้ ซึ่งบางอย่างมันไม่ใช่เรื่องจริง บอกพี่แจ้ตอบผิด พี่แจ้เข้าใจผิด มันเป็นจุดสำคัญมาก ที่ทำให้เอเย่นท์ของไออาร์เอส รู้สึกว่าเราโกหก ความน่าเชื่อถือของเราก็ลดลงไปเลย เพราะฉะนั้นจุดนี้สำคัญมาก ใครเจอแบบนี้ เขาจะมาสัมภาษณ์สอบถามอะไร ถ้ารู้ในใจว่าเราทำอะไรผิด อย่าโกหก ห้ามให้สัมภาษณ์ไปแบบโกหกเจ้าหน้าที่ อันนี้เรื่องใหญ่ เคสของคุณจะหนักขึ้น จุดนี้ ถ้ามีทนายก็ติดต่อทนายจะดีที่สุดนะคะ”

คุณหน่อยบอกว่าเจ้าหน้าที่ของไออาร์เอส มาด้วยความหวังว่าการตรวจค้นบ้านจะพบทรัพย์สินเงินทองมากมายมหาศาล จึงผิดหวังกลับไป

“คนอาจจะมองเข้ามาว่า ร้านใบตองขายดี เจ้าของรวยแน่ๆ อะไรแบบนี้ ขอบอกว่าไม่ใช่อย่างนั้น จริงๆ แล้วการทำธุรกิจของเรา เราลงทุนในเรื่องของเลเบอร์มากๆ เลย เพราะอยากยกระดับมาตรฐานอาหารไทย อยากให้เซอร์วิสดีๆ เพราะฉะนั้น เลเบอร์เราสูงมาก บวกกับเราเน้นมาร์เก็ตติ้ง ทุกอย่าง เราต้องการโปรโมทอาหารไทยจริงๆ นั่นคือความเชื่อของเราว่าอาหารไทยของเราเจ๋ง อยากทำให้ทุกคนรู้จักอาหารไทยมากที่สุด พอลงทุนเยอะๆ กำไรก็น้อยลง น้อยกว่าร้านอาหารทั่วไปด้วยซ้ำ แล้วกำไรที่ได้มาทุกคนก็รู้ว่าต้องเอาไปจ่ายภาษีเกือบครึ่ง ที่เหลือพี่แจ้เอาไปหมดเลย เอาไปขยายธุรกิจต่อ นี่คือลักษณะการทำธุรกิจของเรา เพราะฉะนั้นทุกวันนี้หน่อยไม่มีเงินเก็บเลยนะคะ”

การตรวจค้นบ้านพักกินเวลาหลายชั่วโมง ตั้งแต่เช้าถึงบ่าย ทำให้คุณหน่อยเครียดมาก โดยสาเหตุส่วนหนึ่งเป็นเพราะรู้ตัวดีว่า “เคยทำผิด” มาจริงๆ

“ลองนึกภาพตามนะคะ คุณเปิดร้านอาหาร แล้วร้านคุณขายได้ แต่ว่าวันหนึ่ง คนครัวคุณวอล์คเอาท์ออกไป โดนร้านอื่นซื้อตัวไป หรือว่าอะไรก็ตาม คนครัวขาด คุณไม่มีคนทำงาน ร้านคุณเปิดไม่ได้ ณ วันนั้นถ้ามีคนเดินเข้ามาสมัคร มีใบไม่มีใบ คุณรับไหม ร้านเราต้องอยู่รอด คุณก็ต้องรับ วันนั้นเขาขอเงินสด หรือเช็คครึ่งเงินสดครึ่ง คุณต้องรับ เพื่อความอยู่รอดของร้านน่ะ แล้วจะเกิดอะไรขึ้น คุณก็ต้องเอาเงินสดไปจ่ายพนักงาน เงินสดมาจากไหน ก็มาจากยอดขายที่ลูกค้าจ่ายเป็นเงินสด ถ้าต้องดึงมาจ่ายพนักงาน แล้วทำไงล่ะ เราก็ต้องอันเดอร์รีพอร์ท รีพอร์ทยอดขายไม่ตรงตามเป็นจริง ถูกไหม”

หนึ่งในประเด็นที่ได้รับการเน้นโดยคุณหน่อย คือการใช้โปรแกรมช่วยในการลดยอดขาย ซึ่งเป็นที่นิยมแพร่หลายในธุรกิจร้านอาหารไทยปัจจุบัน

“คดีหรือโทษของคุณจะหนักขึ้น ถ้าคุณใช้โปรแกรมพิเศษในการช่วยคุณอันเดอร์รีพอร์ท หรือลบตั๋ว หน่อยเชื่อว่าทุกคนที่ใช้ POS เข้าใจดีว่าหน่อยพูดถึงอะไร กฎหมายของรัฐวอชิงตัน ถ้าเรามี แค่เราครอบครองโปรแกรมตัวนี้ เราก็ผิดกฎหมายแล้ว ไม่ต้องใช้นะ คุณก็มีโทษคดีอาญา มีสิทธิ์ติดคุก นี่คือความน่ากลัวของมัน เพราะฉะนั้นใครมีอยู่ตอนนี้รีบลบทิ้งซะ มันผิดกฎหมายนะคะ ไม่ต่างกับการมียาเสพติดในมือ เขาคิดแบบนั้นเลย”

คุณหน่อยบอกต่อไปว่า การรายงานยอดขายต่ำกว่าความเป็นจริง ส่งผลต่อเนื่องไปอีกหลายช่วง

“แน่นอนว่าเขามองว่าเราผิด เพราะเก็บเซลล์เท็กซ์ มาแล้วไม่ส่งมอบให้รัฐบาลเต็มที่ เต็มจำนวน เกิดอะไรขึ้นอีก เพย์โรล์ เราไม่จ่ายเพย์โรลล์เท็กซ์ เพราะว่าการเอาเงินสดจ่ายพนักงาน เราไม่ได้จ่ายเพย์โรว์เท็กซ์ตั้งเยอะแยะ แล้วเกิดอะไรอีก มันจะมาจบที่เท็กซ์รีเทิร์น ของคุณตอนสิ้นปี คุณรีพอร์ทรายได้คุณไม่ตรงตามความเป็นจริง และจ่ายภาษีคืนรัฐบาลไม่ตรงตามความเป็นจริง”

คุณหน่อยบอกด้วยว่านี่คือตัวอย่างคร่าวๆ ของการทำความผิดในร้านอาหารไทยเพียงส่วหนึ่งเท่านั้น ยังมีการทำผิดอีกหลายรูปแบบ ที่เจ้าของร้านมักจะเข้าใจว่าเป็นความจำเป็น หรือไม่มีทางเลือก

“หน่อยอยากจะหนุนใจทุกคนว่า ถ้าคุณรู้สึกว่าคุณทำผิดอยู่เพราะคิดว่ามันจำเป็น อยากจะบอกว่าทุกอย่างมีทางแก้ไข อย่าคิดว่าไม่มีทางเลือก เพราะว่าถึงเวลาที่โดนตรวจสอบ คุณก็ต้องแก้ไขมันอยู่ดี แต่จะต้องแก้ไขด้วยผลประทบอีกหลากหลายมากมายตามมา”

คุณหน่อยบอกว่า ขณะที่ถูกตรวจสอบนั้น เธอได้แก้ไขความผิดพลาดที่เคยทำเมื่อครั้งเริ่มต้นทำธุรกิจใหม่ๆ ได้เกือบจะหมดแล้ว

“ร้านใหม่ๆ ที่เปิดก็เริ่มทุกอย่างอย่างถูกต้อง เราไม่ได้มีเจตนาทำผิดอะไรไปตลอดชีวิต ถ้าเรารู้สึกว่าไม่จำป็น เราก็ไม่ทำ ถูกไหม”

คุณหน่อยบอกว่าสำหรับความผิดที่ยังคงเหลืออยู่นั้น เธอและหุ้นส่วนทุกคนใช้เวลาแก้ไขเพียงแค่หนึ่งวันเท่านั้น

“คือคนที่หลังชนฝาแล้ว มันก็ต้องแก้ เราหาทางแก้ให้กับทุกปัญหาตอนนั้นได้แบบเหลือเชื่อจริงๆ ถึงทางแก้นั้นจะต้องเสียเงินมากแค่ไหน เสียแรง จะต้องเฮิร์ทฟิลลิ่งของพนักงาน ต้องเฮิร์ทฟิลลิ่งของเรา ชนิดฮาร์ทโบรกเก้นสุดๆ เราก็ต้องทำ มันหลังชนฝาแล้ว เพราะฉะนั้นเราก็แก้ไขทุกข้อจริงๆ อย่างที่บอก ถ้าใครรู้สึกว่าเฮ้ย ต้องทำผิดเพราะความจำเป็น ไม่งั้นอยู่ไม่รอดหรอก ไม่จริงค่ะ ถ้าคุณตั้งใจจริงที่จะแก้ และคุณรู้ถึงโทษของมัน คุณต้องจะแก้ เชื่อเถอะ เพราะว่ามีผลกระทบที่แย่มากๆ เลย ถ้าไม่แก้แล้วรอให้เขาเข้ามาค้นเจอ”

จากนั้น คุณหน่อย ได้กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือต่อไปว่า ถึงวันนี้ เธอยังไม่รู้เลยว่าอนาคตของเธอและครอบครัวจะเป็นอย่างไร

“แต่โทษสูงสุดของหน่อยคือการจำคุก น่ากลัวมาก ผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่เคยเจออะไรร้ายๆ มาเลย ถ้าต้องเข้าคุก ต้องแยกกับลูก... เพราะฉะนั้น มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะ ที่มาพูดวันนี้เพราะอยากให้ทุกคนรับรู้ว่าไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะคะ”

จากนั้น เจ้าของร้านใบตอง ก็ได้บอกเล่าถึง “ผลกระทบ” ที่เธอและครอบครัวได้รับจากการถูกตั้งข้อหาโดย ไออาร์เอส คราวนี้

“ผลกระทบสำหรับหน่อยที่เจอจริงๆ ลิสต์ออกมาเป็นข้อๆ คือ หนึ่ง เสียเงิน คือเราต้องจ่ายเงินคืนรัฐบาลถูกไหม ยังมีค่าปรับ ค่าดอกเบี้ย ค่าทุกอย่าง ซึ่งต้องเสียเงินคืนเท่าไหร่ คุณรู้เลยว่าต้องคูณอีกเท่าหนึ่ง นั่นคือสิ่งที่คุณจะต้องเสีย เหมือนเสียเงินโง่ๆ เราไม่ได้ดึงเงินมาเข้าตัวเองเลย เราดึงมาใส่ร้าน จ่ายเป็นค่าแรง เป็นการตัดสินใจที่โง่มาก แค่หนักสุดไม่ใช่แค่ค่าปรับกับดอกเบี้ยนะคะ มีค่าทนาย ทนายหน่อยเก่งมาก ค่าแรงก็เลยสูงตามความเก่ง คราวนี้ หน่อยกับแจ้เจอสองเด้ง เพราะสองคน เพราะฉะนั้น ที่บาดเจ็บเท่าไหร่ตอนแรก ที่เราต้องจ่ายคืนรัฐบาลน่ะ คูณสี่เข้าไป นั่นคือสิ่งที่หน่อยเจอ เสียเงิน”

“สอง เสียเวลามาก คือหน่อยกับแจ้ต้องวิ่งวุ่นกับคดีนี้ คุยกับทนาย เจอทนายบ่อยๆ เตรียมเอกสารให้เขาพร้อมไปคุยกับรัฐบาล สาม เสียงาน เพราะว่าเราเอาเงิน เอาเวลาของเราไปลงกับคดีหมด มันเสียงานไปเลย ช่วงแรกๆ บริษัทหน่อยหยุดนิ่งเป็นเวลาปีกว่าๆ ร้านที่มีก็ไม่ได้เข้าไปดูแล ธุรกิจใหม่ๆ ก็ไม่ได้ขยาย เพราะไม่มีเงิน เพราะฉะนั้น ถ้าใครที่ลงทำร้านด้วยตัวเอง สมมุติว่าคุณต้องลงไปผัดเอง ไปคุ๊กเอง เสิร์ฟเอง ถ้าคุณโดนกรณีอย่างนี้ แล้วคุณไม่มีแรงไปทำงานที่ร้าน ก็เสี่ยงมากที่จะสูญเสียธุรกิจของคุณได้

“สี่เลยคือเสียชื่อเสียง หน่อยเชื่อว่าทุกคนในนี้เข้าใจในสิ่งที่หน่อยพูดว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ว่ามันก็ไม่แปลกถ้าคนจะมองว่าเฮ้ย! ยูขี้โกง ยูเป็นคนไม่ดี และยิ่งกว่านั้นคือในวันที่เคสมันถึงที่สุด มันก็อาจจะเห็นข่าวของเราว่าร้านใบตองเจอคดี เจอโน่นนี่ ณ วันนั้นก็จะเห็นข่าวนี้บนหน้าหนังสือ บนสยามทาวน์ บนโซเชียลมีเดีย ณ วันนั้นเราเสียชื่อแน่นอน จะต้องมีคนบอกว่า เฮ้ย! ยูมันคนขี้โกง ซึ่งแบบเฮิร์ท เสียชื่อเสียงแบบนี้ โหดมาก

“แต่ที่สุดของหน่อยจริงๆ คือเสียสุขภาพจิต เพราะตั้งแต่เกิดเหตุ เอาตรงๆ เลย หนึ่งเดือนแรก ร้องไห้ทุกวัน แล้วหลบอยู่ในห้องไม่อยากเจอใคร จมอยู่กับความผิดอันนั้น เฮ้ย! เราเคยทำผิดมา มันโหดมาก มองหน้าลูก ก็โอ้ย! นี่เราต้องแยกกับลูกหรือเปล่า เรื่องมันจะไปจบที่ไหน คือมันสามารถทำให้คนๆ หนึ่งเป็นโรคจิตได้เลยนะ ฆ่าตัวตายยังได้เลย เอาจริงๆ ถ้าไปอยู่ในจุดนั้น น่ากลัวขนาดนั้นเลย”

แต่เธอก็ผ่านจุดนั้นมาได้ ซึ่งเธอให้เครดิตกับ “พระเจ้า” รวมถึงสามีและหุ้นส่วนทุกคน ที่ช่วยกันประคับประคองจนผ่านพ้นเหตุการณ์ที่ย้ำแย่ถึงขีดสุดมาได้

“ทุกคน โพซิทีฟมาก ไม่เคยต่อว่ากันเลยว่ามันเป็นความผิดใคร มันโชว์ให้เห็นว่าในเหตุร้ายๆ ทำให้เรารักกันมากขึ้นได้ และด้วยความที่เราเป็นคริสเตียน หน่อยเชื่อจริงๆ ว่าพระเจ้ายอมให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น เพราะการดี เพราะถ้ามันไม่เกิดขึ้น ปัญหาต่างๆ ก็เหลืออยู่ ที่ไม่มีใครไปแตะมัน ไม่มีการถูกแก้”

ในช่วงท้าย คุณหน่อย ได้ให้คำแนะนำผู้ที่กำลังประสบปัญหาแบบเดียวกัน ว่าให้ตั้งสติ อย่าจมอยู่กับปัญหา รีบลุกขึ้นมาแก้ไข ขอให้เชื่อมั่นว่าปัญหาทุกอย่างจะผ่านพ้นไป อย่าปล่อยให้ปัญหาขยายใหญ่จนเสี่ยงต่อการสูญเสียธุรกิจ เหมือนเช่นที่เคยเกิดมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง

“ประสบการณ์ของหน่อย เป็นแค่ด้านเดียว มันจะดีแค่ไหน ถ้ามีคนออกมาบอกเล่าประสบการณ์เหล่านี้ ไมต้องบอกชื่อร้าน หรือไม่ต้อบอกก็ได้ว่าเราคือใคร แต่มาบอกเล่าปัญหาที่เกิดขึ้น ก็น่าจะช่วยให้สังคมเรา ที่เป็นนักธุรกิจ ได้รู้ว่ามีรูปแบบไหนบ้าง จะโดนอะไรบ้าง ก็อยากจะสนับสนุนให้คนที่อาจจะเคยผ่านประสบการณ์พวกนี้แล้วมาบอกเล่ากันดีกว่า เพื่อจะได้ให้ทุกคนได้รับรู้” คุณหน่อย ชดิลลดา แห่งร้านใบตอง กล่าวในที่สุด.

 




นำเสนอข่าวโดย : ภาณุพล รักแต่งาม,
แหล่งที่มาข่าวโดย : สยามทาวน์ยูเอส

แสดงความคิดเห็น

Name :

Detail :




ฉบับที่
597
siamtownus newspaper








Hots Clip VDO ดูทั้งหมด

ขออภัยสัญญาณ VDO มีปัญหากำลังดำเนินการแก้ไข