วอชิงตัน โพสต์ รายงานข่าวเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2019 ถึงพฤติกรรมของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ขึ้นชื่อในเรื่องการอ้างถึงข้อมูลที่ผิดพลาด เช่นตัวเลขที่สูงหรือต่ำเกินจริง, คำโอ้อวดถึงผลงาน โดยไม่มีข้อมูลรองรับ หรือกระทั่งการโกหกแบบไม่สนใจอะไร ซึ่งเกิดขึ้นแบบถี่ๆ ว่า นับจนถึงวันที่ 5 สิงหาคม 2019 หรือ 928 วันหลังสาบานตัวเข้ารับตำแหน่ง ทรัมป์ได้ให้ข้อมูลเท็จ หรือข้อมูลผิดพลาดต่อสาธารณชน มากถึง 12,019 ครั้ง โดยอ้างจากระบบตรวจสอบข้อมูลของโพสต์ (Fact Checker’s database)

จากตัวเลขดังกล่าวนี้ หมายถึงว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ ให้ข้อมูลแบบผิดๆ เฉลี่ยวันละ 13 ครั้ง นับจากสาบานตัวเข้ารับตำแหน่งเป็นต้นมา

ข่าวบอกด้วยว่า ทรัมป์ให้ข้อมูลเท็จกับประชาชนครบ 10,000 ครั้งในวันที่ 26 เมษายน และนับจากวันนั้นเป็นต้นมา เขาให้ข้อมูลเท็จแบบถี่ๆ ประมาณ 20 ครั้งต่อวัน

โดยหนึ่งในห้าของข้อมูลเท็จ และคำโกหกของผู้นำสหรัฐฯ นั้น โพสต์บอกว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับอิมมิเกรชั่น ซึ่งเป็นประเด็น “ลายเซ็นต์” ของเขา โดยข้อมูลเท็จของประธานาธิบดีทรัมป์เกี่ยวกับเรื่องนี้ เพิ่มขึ้นแบบเห็นได้ชัดหลังจากเกิดเหตุการณ์ “ชัทดาวน์” ของรัฐบาลกลางกลาง อันมีสาเหตุหลักจากการที่คองเกรสไม่ผ่านงบประมาณก่อสร้างกำแพงกั้นพรมแดนสหรัฐฯ และเม็กซิโกตามที่เขาเสนอ โดยโพสต์บอกว่า คำโกหกที่มากที่สุดของทรัมป์ คือคำว่า “กำแพงกั้นพรมแดนกำลังถูกสร้าง” (border wall is being built) ซึ่งมากถึง 190 ครั้ง เพราะในความเป็นจริงแล้ว คองเกรสไม่เห็นด้วยกับการสร้างกำแพงคอนกรีต ตามที่ทรัมป์ต้องการ ดังนั้นสิ่งที่ทรัมป์โกหกว่าเป็นกำแพงนั้น จริงๆ คือการฝังเสาเหล็กเป็นรั้ว แบบที่เรียกว่า bollard fencing และซ่อมแซมรั้วไม้ที่มีอยู่เดิมเท่านั้น

คำโกหก, ข้อมูลเท็จ หรือข้อมูลคลาดเคลื่อนของประธานาธิบดีทรัมป์ เกี่ยวกับการค้า, เศรษฐกิจ และการสอบสวนเรื่องการแทรกแซงการเลือกตั้งปี 2016 ของรัสเซีย มีสัดส่วนอย่างละ 10 เปอร์เซ็นต์ของคำโกหก หรือข้อมูลอันคลาดเคลื่อนทั้งหมดที่ออกจากปาก หรือทวิตเตอร์​ของทรัมป์

โดยคำโกหกของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ว่า เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในสมัยของเขาถือว่าดีที่สุดในประวัติศาสตร์ (U.S. economy today is the best in history) มากถึง 186 ครั้ง เริ่มจากการโกหกครั้งแรกเมื่อเดือนมิถุนายน 2018 เป็นต้นมา เพราะในความเป็นจริงแล้ว สภาพเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมา ถือว่าห่างไกลจากสมัยของประธานาธิบดี ดไวท์ ไอเซนฮาวเวอร์, ลินดอน บี จอห์นสัน หรือบิล คลินตัน โดยโพสต์บอกด้วยว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯ อาจจะแย่ลงกว่านี้ เพราะกำลังเริ่มเผชิญกับลมแรง (Head wind) จากการเปิด “สงครามการค้า” กับหลายประเทศ

โพสต์บอกด้วยว่า ประธานาธิบดีอ้างว่า สหรัฐฯ “สูญเสียเงิน” จากการขาดดุลการค้ามากถึง 166 ครั้ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความไม่เข้าใจระบบเศรษฐกิจของผู้นำสหรัฐฯ โดยอธิบายว่า ประเทศ ไม่ “สูญเสียเงิน” จากการขาดดุลการค้า โดยคำว่าการค้าขาดดุล หมายถึงพ่อค้าจากประเทศที่หนึ่ง ซื้อสินค้าจากประเทศที่สองมากว่าพ่อค้าจากประเทศที่สอง ซื้อสินค้าจากประเทศที่หนึ่ง อีกทั้งการขาดดุลการค้า ยังมีผลมาจากปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาค (macroeconomic factors) เช่นอันตราแลกเปลี่ยนเงินตรา การเติบโตทางเศรษฐกิจ การออมทรัพย์และการลงทุน เป็นต้น

ประธานาธิบดีทรัมป์ โกหกซ้ำๆ ถึง 162 ครั้งว่าเขาผ่านกฎหมายลดหย่อนภาษีครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ โดยวอชิงตันโพสต์ บอกว่าทรัมป์ให้สัญญาตั้งแต่กฎหมายลดหย่อนภาษีของเขายังไม่ได้เขียนว่า เขาจะลดหย่อนภาษีมากที่สุดในประวัติศาสตร์ คือมากกว่า 2.9 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี ซึ่งเกิดขึ้นในสมัยของประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน เมื่อปี 1981 แต่ในความเป็นจริงแล้ว กฎหมายลดหย่อนภาษีของเขาอยู่ที่ 0.9 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี หรือมากป็นอันดับแปดในรอบร้อยปีเท่านั้น แต่คำโกหกเรื่องนี้ก็ยังเรียกเสียงตบมือกึกก้องให้ทรัมป์ทุกครั้งที่เขาขึ้นปราศรัยกับกลุ่มผู้สนับสนุน

ข่าวบอกด้วยว่า พฤติกรรมการส่งข้อความผ่านทวิตเตอร์แบบ “เขื่อนแตก” ของประธานาธิบดีทรัมป์ ก็ยิ่งทำให้เขาได้ชื่อว่าเป็นประธานาธิบดีที่ถูกจับโกหกได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ​ โดย 18 เปอร์เซ็นต์ของการให้ข้อมูลผิดพลาด คลาดเคลื่อน หรือคำโกหกแบบไม่สนใจอะไรของเขา มาจากการทวิตข้อความของเขานั่นเอง

ทั้งนี้ ระบบตรวจสอบข้อมูลของวอชิงตัน โพสต์ ที่เรียกว่า the Fact Checker database นั้น จะให้สัญญลักษณ์การ์ตูนพิน็อคคิโอ กับการทวิตข้อมูลเท็จ หรือ false claims ของบรรดานักการเมืองทั้งหลาย โดยจะให้สัญลักษณ์พีน็อคคิโอ 1 ตัวต่อการทวิตข้อความเท็จซ้ำกันสามหรือสี่ครั้ง ซึ่งข้อความในทวิตเตอร์ของประธานาธิบดีทรัมป์นั้น ได้สัญลักษณ์พิน็อคคิโอมากกว่า 300 ตัว

ยิ่งกว่านั้น ข้อความเท็จที่ประธานาธิบดีส่งซ้ำๆ มากกว่า 20 ครั้ง ซึ่งระบบจัดเท็จของ วอชิงตัน โพสต์ เรียกว่า “พีน็อคคิโอก้นรั่ว หรือ Bottomless Pinocchios นั้น มีมากถึง 23 ข้อความด้วยกัน

อย่างไรก็ดี โพสต์บอกว่า ถึงแม้ว่าทรัมป์จะสามารถโกหกประชาชนโดยไม่ต้องคำนึงถึงข้อเท็จจริง (Trump’s fact-free statements) ก็ตาม แต่เห็นได้ชัดว่าความพยายามของเขาล้มเหลว โดยอ้างผลการทำโพลล์ของวอชิงตันโพสต์ เอง (Washington Post Fact Checker poll) เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา พบว่ามีชาวอเมริกันเพียงไม่ถึง 3 ใน 10 ที่เชื่อในคำโกหกของประธานาธิบดีทรัมป์.
.
.