เอเอฟพีรายงานเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคมว่า รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยอมล้มเลิกแผนการตั้งคำถามถึงสถานะความเป็นพลเมือง ในการทำสำมะโนประชากรปี 2020 แล้วเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2562 ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเพียงหนึ่งวัน ประธานาธิบดีทรัมป์ยังคงยืนกรานว่า เขาต้องการให้การทำสำมะโนประชากร ซึ่งกระทำทุกๆ 10 ปี หาคำตอบว่ามีใครบ้างที่เป็นพลเมืองอเมริกันจริงๆ ไม่ใช่พวกที่อยู่ที่นี่อย่างผิดกฎหมาย
ทั้งนี้ เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ศาลสูงสุดของสหรัฐมีคำตัดสินห้ามรัฐบาลตั้งคำถามถึงความเป็นพลเมือง โดยตุลาการศาลสูงสุดลงความเห็นว่าเหตุผลที่รัฐบาลอ้างนั้นไม่ชัดเจน
ประธานาธิบดีทรัมป์โพสต์ข้อความผ่านบัญชีทวิตเตอร์ของเขาเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคมว่า "เป็นช่วงเวลาน่าเศร้ามากของอเมริกา เมื่อศาลสูงสุดของสหรัฐไม่อนุญาตให้ตั้งคำถามว่า 'บุคคลนี้เป็นพลเมืองสหรัฐหรือไม่' เพื่อถามในการทำสำมะโนประชากรปี 2020”
ภายหลังคำตัดสินของศาลฎีกา ปฏิกิริยาแรกของทรัมป์คือขอให้เลื่อนการพิมพ์แบบคำถามและการทำสำมะโนประชากรปีหน้าออกไปก่อน เพื่อรอเวลาให้รัฐบาลยื่นอุทธรณ์ แต่ขณะนี้รัฐบาลของเขาล้มเลิกความพยายามอุทธรณ์และปิดโอกาสที่จะเปลี่ยนคำถามในแบบสำมะโนประชากรครั้งนี้แล้ว
การนับจำนวนประชากรในประเทศนั้นมีความสำคัญต่อการกำหนดเขตเลือกตั้งสมาชิกสภาทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ และเป็นตัวตัดสินด้วยว่ารัฐบาลกลางจะต้องให้งบประมาณแต่ละรัฐจำนวนเท่าใด
ฝ่ายที่คัดค้านการตั้งคำถามเรื่องสถานะความเป็นพลเมือง ซึ่งไม่ถูกบรรจุไว้ในแบบคำถามมาตั้งแต่ปี 1950 ให้เหตุผลว่าการสอบถามเรื่องสถานภาพ จะส่งผลให้คนเข้าเมืองจำนวนมากเลี่ยงตอบแบบสอบถาม เพราะกลัวว่าจะตกเป็นเป้าหมายของรัฐบาลทรัมป์ การทำเช่นนั้นจะทำให้ประชากรเหล่านี้ไม่มีตัวตน บิดเบือนจำนวนประชากรที่แท้จริง ซึ่งส่งผลต่อการจัดสรรงบประมาณและการกำหนดพื้นที่เลือกตั้งที่อ้างอิงตามจำนวนประชากร
ผู้เชี่ยวชาญด้านสำมะโนประชากรกล่าวกันว่า คนเข้าเมือง 1.6 ล้านจาก 6.5 ล้านคน โดยเฉพาะพวกที่พูดภาษาสเปน จะไม่ทำแบบสอบถามหรือโกหก หากมีคำถามเรื่องพลเมือง.
.
.