ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฏาคม 2019 นี้ ประชาชนในรัฐแคลิฟอร์เนีย จะต้องเสียภาษีน้ำมันเพิ่มขึ้นอีก 5.6 เซ็นต์ต่อแกลลอน คือจาก 41.7 เซ็นต์ต่อแกลลอนเป็น 47.3 เซ็นต์ต่อแกลลอน ตามกฎหมาย SB1 ซึ่งผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาเมืองซาคราเมนโต้เมื่อสองปีก่อน ทั้งนี้เพื่อนำรายได้จากภาษี ซึ่งประเมินว่าจะสูงกว่า 52 พันล้านดอลลาร์ในระยะสิบปีข้างหน้า เข้าสู่กองทุนขนส่งมวลชนของรัฐ สำหรับนำไปซ่อมแซมถนนและสะพาน รวมถึงปรับปรุงระบบขนส่งมวลชนของรัฐให้ดีขึ้น

ข่าวบอกว่าอัตราภาษีใหม่ดังกล่าวนี้ ทำให้ราคาเฉลี่ยน้ำมันทั่วรัฐแคลิฟอร์เนียอยู่ที่ 4 ดอลลร์ต่อแกลลอน หรือแพงกว่าราคาเฉลี่ยทั่วประเทศประมาณ 1.20 ดอลลาร์ต่อแกลลอน

ภาษีน้ำมันที่เพิ่มขึ้นในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้ ถือเป็นการขึ้นภาษีน้ำมันครั้งที่สองภายใต้กฎหมายฉบับนี้ โดยครั้งแรกมีขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2017 ในอัตรา 12 เซ็นต์ต่อแกลลอน เพราะกฎหมาย SB1 ระบุว่าจะมีการปรับภาษีน้ำมันขึ้นปีละ 2-3 เปอร์เซ็นต์ โดยปรับตามสภาพเงินเฟ้อของแต่ละปีด้วย ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ เชื่อว่ารัฐแคลิฟอร์เนียจะกลายรัฐที่มีภาษีและค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับน้ำมัน (gas) สูงสุดในอเมริกา โดยแซงหน้ารัฐเพ็นซิลเวเนีย ซึ่งปัจจุบันได้ชื่อว่าเป็นรัฐที่เก็บภาษีน้ำมันแพงที่สุด (58.7 เซ็นต์ต่อแกลลอน) ได้ในเวลาไม่กี่ปีข้างหน้าอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม มีการประเมินว่าการซ่อมแซมถนนหนทางและสะพานทั่วทั้งรัฐ จะต้องใช้งบประมาณสูงถึง 130 พันล้านดอลลาร์ ดังนั้น ถึงแม้ว่ารัฐแคลิฟอร์เนียจะสามารถเก็บภาษีน้ำมันที่เพิ่มขึ้นได้อย่าเต็มเม็ดเต็มหน่วยในระยะสิบปีข้างหน้าก็ตาม แต่เงินงบประมาณสำหรับซ่อมแซมถนนและสะพานก็จะติดลบอยู่เกือบ 80 พันล้านดอลลาร์.
.
.