เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม ที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สเปิดเผยว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประสบภาวะขาดทุนจากธุรกิจหลักของเขา ซึ่งรวมถึงกาสิโน โรงแรม และอพาร์ทเมนท์ สูงถึง 1.17 พันล้านดอลลาร์ในช่วงเวลา 10 ปี (ปี 1985-1994) โดยเฉพาะในปี 1990 และ 1994 นั้น ประธานาธิบดีทรัมป์ ประสบความขาดทุนทางธุรกิจสูงกว่า 250 ล้านดอลลาร์ทั้งสองปี
นิวยอร์กไทม์ ระบุชัดเจนว่า การที่ประธานาธิบดีทรัมป์ขาดทุนยับเยินดังกล่าว ทำให้เขาไม่ต้องเสียภาษีเป็นเวลาถึง 8 ปี
ในระยะที่ผ่านมา สมาชิกพรรคเดโมแครตในสภาผู้แทนราษฎร ได้เรียกร้องให้กรมสรรพากรสหรัฐ เปิดเผยแบบแสดงการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีเงินได้นิติบุคคลของประธานาธิบดีทรัมป์ย้อนหลังเป็นเวลา 6 ปีแก่สภาคองเกรส เพื่อทำการสอบสวนกรณีผลประโยชน์ทับซ้อนจากการทำธุรกิจของประธานาธิบดีทรัมป์และการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ยืนยันว่า เขาจะไม่เปิดเผยแบบแสดงการเสียภาษีของเขาต่อสาธารณชน เนื่องจากกำลังได้รับการตรวจสอบจากกรมสรรพากร โดยนายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ กล่าวว่า เขาจะไม่อนุญาตให้กรมสรรพากรสหรัฐทำการเปิดเผยแบบแสดงการเสียภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์แก่สภาคองเกรส
ซึ่งท่าทีของนายมนูชินสอดคล้องกับนายมิค มัลวานีย์ หัวหน้าคณะทำงานประจำทำเนียบขาว ซึ่งกล่าวก่อนหน้านี้ว่า สภาคองเกรสจะไม่มีทางได้รับแบบแสดงการเสียภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์
ทั้งนี้ ในหนังสือที่ส่งไปยังนายริชาร์ด นีล ประธานคณะกรรมาธิการพิจารณาวิธีการจัดหารายได้ของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ นายมนูชินระบุว่า หลังจากที่ได้มีการหารือกับกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ เขาได้ตัดสินใจว่าคำร้องจากทางคณะกรรมาธิการฯที่ต้องการให้มีการเปิดเผยแบบแสดงการเสียภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์เป็นคำร้องที่ขาดความชอบธรรมทางกฎหมาย ดังนั้น กระทรวงการคลังจึงไม่สามารถปฏิบัติตามคำร้องดังกล่าวได้
นายมนูชินระบุว่า คำร้องดังกล่าวอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญสหรัฐ และอาจมีผลกระทบต่อผู้เสียภาษีทุกคนในสหรัฐ
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ทวีตข้อความในวันนี้ ตอบโต้หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ส ซึ่งเปิดเผยว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ประสบภาวะขาดทุนมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์จากการทำธุรกิจในปี 1985-1994
"คุณต้องการแสดงตัวเลขขาดทุนเพื่อผลประโยชน์ทางด้านภาษี ซึ่งนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มักทำกัน และมักใช้ในการเจรจาต่อรองกับธนาคาร" ข้อความในทวิตเตอร์ระบุ
นอกจากนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ยังระบุว่า นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ใน 30 ปีก่อน สามารถทำการตัดมูลค่าทางบัญชี และค่าเสื่อม ซึ่งจะทำให้ปรากฎเป็นตัวเลขขาดทุนในกรณีส่วนใหญ่ โดยไม่เกี่ยวข้องกับสถานะการเงิน และถือเป็นกลยุทธ์ในการหลบเลี่ยงภาษี.
.
.