คนอเมริกันคิดอย่างไรหรือมีความเห็นต่อผู้นำประเทศอย่างไร เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ดำเนินนโยบายโดยไม่ปรึกษาหารือผู้นำองค์กรสำคัญต่างๆ ของรัฐในการดำเนินนโยบายต่างประเทศและการค้า ซึ่งส่งผลกระทบต่อทิศทางชัดเจนของสหรัฐฯ
ได้สร้างความระแวงสงสัยในประเทศที่เป็นพันธมิตรอันยาวนานเช่นยุโรป
การเดินหน้าโดยนโยบายเพิ่มศัตรูและทำลายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทำให้สหรัฐฯ ถูกโดดเดี่ยวและพันธมิตรในยุโรปเริ่มรู้สึกเพิ่มทุกวันว่าจะหวังให้สหรัฐฯ เป็นมิตรแท้ถาวร คงจะไม่ได้เพราะความแปรปรวนของอารมณ์และความเอาแน่เอานอนไม่ได้
ที่น่าวิตกก็คือทรัมป์เริ่มแวดล้อมด้วยคณะทำงานซึ่งไม่กล้าโต้แย้งขัดขวางหรือมีความคิดต่างจากตัวเอง ขณะเดียวกันก็ได้ปลดหรือบีบบังคับให้ลาออกบรรดาพวกที่ถูกมองว่าเป็นมันสมอง แต่มีความคิดเป็นอิสระซึ่งตัวผู้นำทำเนียบขาวไม่ชื่นชอบ
การแวดล้อมด้วยคนซึ่งอยู่ในประเภทลูกขุนพลอยพยักไม่ใช่เรื่องใหม่เป็นสิ่งที่ผู้นำสหรัฐฯ ทำมาโดยตลอดแต่ไม่มีใครทำอะไรได้ เพราะประธานาธิบดีเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในประเทศและมีสิทธิอำนาจวีโต้และแย้งกับกฎหมายต่างๆ ที่สภาคองเกรสอนุมัติ
การดึงดันและดันทุรังดำเนินนโยบายโดยไม่ฟังใครนอกจากจะทำให้กลุ่มมิตรประเทศรู้สึกไม่สบายใจแล้ว ยังทำให้ประเทศอื่นๆ ในโลกมีความหวาดผวาว่าจะนำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงและสภาวะการเป็นปฏิปักษ์ต่อกันในกลุ่มประเทศมหาอำนาจ
โดยเฉพาะประเทศในวงจรของความขัดแย้ง เช่น อิหร่าน และเกาหลีเหนือ ซึ่งสหรัฐฯ พยายามปิดล้อมทุกด้านด้วยมาตรการคว่ำบาตร บีบบังคับให้ประเทศอื่นๆ ให้ทำตาม เอากฎหมายของสหรัฐฯ เป็นมาตรฐานโลก ไม่แยแสใส่ใจแม้กระทั่งองค์การสหประชาชาติ
ทรัมป์ยังห้าวจัดกับรัสเซียและจีนซึ่งเป็นชาติมหาอำนาจไม่หวั่นเกรงสหรัฐฯ และมีแสนยานุภาพไม่ห่างชั้นกัน โดยเฉพาะจีนซึ่งมีพลังเศรษฐกิจแข็งแกร่งอันดับสองของโลก และคาดว่าจะแซงหน้าสหรัฐฯ ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า สร้างเสริมพันธมิตรด้วยพลังเศรษฐกิจ
ยังเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของสหรัฐฯ ซึ่งลูกหนี้ไม่อยู่ในสภาวะที่ใช้หนี้คืน นอกจากจะเร่งพิมพ์เงินดอลลาร์ออกมา หรือสร้างหนี้ใหม่ กู้จากชาติอื่นๆ มาใช้คืนหนี้จีน นั่นจะทำให้ค่าเงินดอลลาร์ตก ทั้งจีนและรัสเซียได้พยายามสร้างคู่ค้าโดยใช้เงินของตัวเอง
ปัญหากับจีนในด้านสงครามการค้า นอกสหรัฐฯ จะตกลงกันในเรื่องเดิมไม่ได้แล้ว ผู้นำทำเนียบขาวยังขยายด้วยการกำหนดประเภทสินค้าเพื่อขึ้นภาษีอีกด้วยเท่ากับว่าเรื่องเดิมยังสะสางไม่เสร็จก็เอาเรื่องใหม่เข้ามาทำให้สถานการณ์ยากที่จะแก้ไข
การเจรจาหลายรอบยังไม่คืบหน้า คู่เจรจาอย่างจีนเริ่มรู้สึกว่าการจะให้ฝ่ายตรงข้ามอย่างสหรัฐฯ ยอมตกลงอย่างง่ายดายหรือยอมรับเหตุผลไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเป้าหมายของทรัมป์ไม่ใช่ผลประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ ยังหวังผลด้านการเมืองอีกด้วย
นั่นจะทำให้การเจรจายืดเยื้อเพิ่มดีกรีของความขัดแย้งมากกว่าเดิม และจะนำไปสู่การแข่งขันหรือความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ในภาคอื่นๆ เช่นในด้านเทคโนโลยีซึ่งสหรัฐฯ มีปัญหากับบริษัทหัวเว่ย ผู้นำด้านเทคโนโลยีของจีน แซงหน้าประเทศอื่นๆ ในขณะนี้
แต่เริ่มมีชาติอื่นๆ เช่นเยอรมนี สงสัยแล้วว่าการที่สหรัฐฯ กล่าวหาบริษัทหัวเว่ยว่ามีเทคโนโลยีที่ใช้จารกรรม เป็นอันตรายต่อความมั่นคงนั้นเริ่มจะไม่น่าเชื่อถือ แต่หลายประเทศจำยอมที่จะเชื่อและเดินตามสหรัฐฯ เพราะความเกรงใจต่อความเป็นมหาอำนาจ
คำกล่าวหาต่อบริษัทหัวเว่ยของทรัมป์ จะถูกสงสัยด้วยเช่นกันว่ามีหลักฐานหรือเหตุผลสนับสนุนเพียงพอหรือไม่ และเป็นการเอาแต่ใจตัวเอง ไม่คำนึงถึงผลเสียระยะยาว
การย้ายสถานทูตสหรัฐฯ จากกรุงเทลอาวีฟของอิสราเอลไปอยู่กรุงเยรูซาเลม การสนับสนุนให้อิสราเอลยึดครองและผนวกที่ราบสูงโกลันของซีเรียไว้เป็นดินแดนของตัวเองล้วนเพิ่มความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ ล่าสุดจะให้ยึดฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดนอีกด้วย
แม้อิสราเอลจะทำได้สำเร็จ โดยมีสหรัฐฯ หนุนหลัง แต่จะเป็นอันตรายในระยะยาว อาจต้องอยู่โดดเดี่ยวในตะวันออกกลาง เป็นเป้าหมายของชาติที่เป็นศัตรูตลอดกาล ที่อยู่รอดมาได้เพราะหลายชาติเชื่อว่าอิสราเอลมีอาวุธนิวเคลียร์พร้อมรบซ่อนอยู่ใต้ทะเลทราย
พฤติกรรมและนโยบายต่างๆ ที่ผู้นำสหรัฐฯ ได้กระทำมา เห็นได้ว่าไม่ได้มุ่งการแสวงหามิตรหรือสันติภาพ แต่เป็นการเปิดแนวความเป็นปฏิปักษ์กับประเทศอื่นๆ หรือสร้างปัญหาใหม่กับประเทศที่เป็นปฏิปักษ์ดั้งเดิม ต้องการเป็นมหาอำนาจไร้เทียมทาน
ล่าสุดทรัมป์ประกาศว่ากองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติของประเทศอิหร่าน ซึ่งมีกำลังพลประจำการมากกว่า 1 แสนนาย เป็นกลุ่มก่อการร้ายโดยที่ผู้นำสหรัฐฯ อ้างว่าหน่วยนี้ไปมีส่วนร่วมในการสู้รบหรือสนับสนุนกองกำลังของประเทศอื่นๆ ในตะวันออกกลาง
เป็นครั้งแรกที่ประเทศหนึ่งได้กล่าวหากองทัพอีกประเทศหนึ่งว่าเป็นกองกำลังก่อการร้าย นอกจากทำให้ชาวโลกตะลึงแล้ว ยังทำให้อิหร่านตอบโต้อย่างทันควัน ด้วยการประกาศว่ากองทัพสหรัฐฯ ก็เป็นกองกำลังก่อการร้ายด้วย โดยเฉพาะที่อยู่ต่างประเทศ
สหรัฐฯ มีทหารประจำการในหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งในตะวันออกกลาง ดังนั้นอิหร่านถือว่าทหารสหรัฐฯ ในซีเรีย อิรัก และในประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคนั้น เป็นกลุ่มก่อการร้ายด้วย ถ้าเผชิญหน้ากับทหารอิหร่าน กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติ ก็เสี่ยงต่อการปะทะ
ทรัมป์ยังเชื่อมั่นชาวอเมริกันส่วนหนึ่งจะชื่นชอบความเป็นผู้นำของตนเอง แต่คนละตินอเมริกาคงไม่ชอบขี้หน้า โดยเฉพาะการผลักดันการสร้างกำแพงกั้นชายแดนกับเม็กซิโก จะเดินหน้าแยกลูกจากพ่อแม่ของกลุ่มผู้อพยพ ไม่ใส่ใจต่อเสียงทักท้วงของใคร
คำถามที่ยังไม่มีใครตอบคือ สหรัฐฯ เป็นตำรวจโลกหรืออันธพาลโลกกันแน่!