ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวกับผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาวว่า "ถ้าเราไม่สามารถทำข้อตกลงกับสภาคองเกรสได้ ชายแดนจะถูกปิดแน่น่อน 100 เปอร์เซ็นต์" พร้อมเสริมว่า สหรัฐฯ รับคนเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายมามากแล้ว และนั่นเป็นเรื่องไม่ยุติธรรมอย่างมาก
ประธานาธิบดีทรัมป์ได้กล่าวโทษประเทศแถบอเมริกากลาง เช่น ฮอนดูรัส กัวเตมาลา และเอลซัลวาดอร์ ที่ล้มเหลวในการตรวจสอบการเดินทางอพยพเข้าสู่สหรัฐ พร้อมขู่จะยุติการช่วยเหลือประเทศเหล่านี้
"พวกเขาไม่ได้ทำอะไรให้เราเลย ส่วนเราให้เงินช่วยเหลือประเทศเหล่านี้หลายร้อยล้านดอลลาร์"
ข่าวระบุว่า การประกาศของประธานาธิบดีทรัมป์ครั้งนี้ เป็นการตอกย้ำความเห็นของหลายฝ่าย ที่มองว่า สหรัฐฯ อาจใช้มาตรการรุนแรง แม้มีความเสี่ยงที่จะทำให้เศรษฐกิจได้รับความเสียหายก็ตาม
และในวันที่ 2 เมษายน ที่ผ่านมา นางซาราห์ แซนเดอร์ส โฆษกทำเนียบขาวกล่าวว่า การปิดชายแดนอาจเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
"เป็นไปได้ว่าการตัดสินใจปิดชายแดนอาจเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุด" นายแซนเดอร์สกล่าวกับผู้สื่อข่าว "ขณะนี้พรรคเดโมแครตไม่เหลือตัวเลือกใดๆให้เราเลย"
อย่างไรก็ตาม ทั้งปธน.ทรัมป์และนางแซนเดอร์สต่างไม่ได้ระบุถึงกำหนดการที่จะปิดชายแดนดังกล่าว แม้ก่อนหน้านี้ปธน.ทรัมป์เคยเสนอว่าอาจเร็วสุดภายในสัปดาห์นี้
โดยความเห็นดังกล่าวของทรัมป์ ตรงกันข้ามกับความเห็นของนางคริสเจน นีลเสน รมว.กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐ ซึ่งกล่าวขอบคุณฮอนดูรัส กัวเตมาลา และเอลซัลวาดอร์ สำหรับความพยายามที่จะช่วยสหรัฐรักษาความปลอดภัยบริเวณชายแดน
"อเมริกาแบ่งปันข้อมูลร่วมกันกับประเทศในอเมริกากลางในการเผชิญหน้ากับความท้าทายเหล่านี้" นางนีลเสนระบุในแถลงการณ์
"เราต่างต้องการบังคับใช้กฎหมายของพวกเรา สร้างความมั่นใจว่าการอพยพเข้าประเทศของผู้อพยพเป็นไปอย่างปลอดภัยและเป็นระเบียบเรียบร้อย ปกป้องชุมชนของเรา อำนวยความสะดวกด้านการค้าและการเดินทางที่ถูกกฎหมาย สนับสนุนประชากรที่อยู่ในสถานภาพที่อ่อนแอ สกัดกั้นการลักลอบขนยาเสพติดที่อันตรายและผิดกฎหมาย รวมถึงรักษาความปลอดภัยชายแดนของเรา" นางนีลเสนกล่าว
ข่าวบอกด้วยว่าหากมีการปิดพรมแดนเม็กซิกันจริงๆ ผู้บริโภคในอเมริกาจะเดือดร้อนอย่างมาก อย่างแรกที่เห็นได้ชัดเจนคือ ผลอะโวคาโด้ จะขาดตลาดภายในเวลาเพียงแค่ 3 สัปดาห์ เพราะเม็กซิโก เป็นแหล่งนำเข้าอะโวคาโด้รายใหญ่ ที่มีผลผลิตตลอดทั้งปี.