ถ้ามีใครถามว่า ทำไมต้องไปเลือกตั้ง ก็คงจะตอบง่ายๆว่า รักประชาธิปไตยต้องไปเลือกตั้ง ถ้ามีใครถามต่อไปว่า เลือกตั้งแล้วได้อะไร ไปเลือกตั้งแล้วได้อะไรบ้างลองติดตามดูต่อไปนี้
-ได้ใช้สิทธิ์แห่งความเป็นพลเมืองไทยในระบอบประชาธิปไตยสากลที่รู้กันโดยทั่วไปว่า ประชาชนหนึ่งคนมีสิทธิ์ออกเสียงหนึ่งเสียงเท่าเทียมกัน การไปเลือกตั้งคือ การแสดงออกถึงความเสมอภาคแห่งความเป็นพลเมืองไทยได้อย่างสมบูรณ์
-ได้มีส่วนในการสร้างระบอบประชาธิปไตยให้มีความมั่นคงเข้มแข็งตามหลักสากลนิยมว่า หัวใจสำคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย คือ การมีส่วนร่วมของประชาชน จำนวนประชาชนที่เข้าร่วมการเลือกตั้งมากเท่าไร เป็นดัชนีชี้วัดถึงความเบ่งบานแห่งระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น การเดินเข้าคูหาเลือกตั้งคือ การมีส่วนร่วมในกิจกรรมของระบอบประชาธิปไตยโดยตรง
-ได้แสดงออกถึงเสรีภาพของพลเมืองอย่างแท้จริง การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยทั่วไป การลงคะแนนกระทำเป็นการลับ นั่นก็หมายความว่าเปิดโอกาสให้พลเมืองผู้มีสิทธิ์ ได้ใช้เสรีภาพในการเลือกคนที่ตนไว้วางใจที่สุดไปทำหน้าที่ทั้งด้านนิติบัญญัติและบริหาร โดยไม่มีใครมาครอบงำหรือบีบบังคับโดยประการใดๆ ได้เป็นการแสดงออกซึ่งเสรีภาพส่วนบุคคลที่ได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายอย่างแท้จริง
-ได้มีโอกาสมอบอำนาจอธิปไตยที่มีอยู่แก่บุคคลที่ตนพิจารณาแล้วว่า เป็นตัวแทนของตนได้อย่างสุจริตเที่ยงธรรมนำประโยชน์มาสู่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ มิใช่จำกัดอยู่ในกลุ่มพรรคพวกเพื่อนฝูง พี่น้องวงศ์ตระกูลเท่านั้น
-ได้เลือกสรรคนรับใช้ที่จะนำปัญหาในเขตหรือท้องถิ่นของตนไม่ว่าจะเป็นปัญหาอะไร ไปบอกแก่รัฐบาลโดยตรงผ่านกลไกการทำงานของระบอบรัฐสภา เพื่อให้ปัญหาต่างๆได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงที
-ได้ทำหน้าที่ตัดสินแนวความคิด อุดมการณ์ นโยบาย วิธีปฏิบัติเรื่องต่างๆที่พรรคต่างๆเสนอให้พลเมืองผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนพิจารณาว่า แนวทางไหนของใครจะขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไปสู่ความรุ่งเรืองร่มเย็นเป็นสุขของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศได้ชัดเจนและทำได้จริง พรรคการเมืองใดจะมีสิทธิ์ใช้นโยบายบริหารประเทศขึ้นอยู่กับเสียงคนละหนึ่งเสียงของพลเมืองผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนนี่เอง
-ได้รักษาสิทธิ์ทางการเมืองที่จะพึงมีพึงได้ในอนาคตต่อไป หากไม่ไปเลือกตั้งจะเสียสิทธิ์ทางการเมือง เช่น จะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นตัวแทนทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติมิได้เลย
-ได้มีโอกาสออกแบบรัฐบาลที่ตนเห็นว่าดีที่สุดโดยผ่านการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะไปเลือกนายกรัฐมนตรีในสภาผู้แทนราษฎร การเลือกตั้งคราวนี้เปิดเผยอย่างชัดเจนว่า ถ้าเลือกพรรคไหนจะได้ใครเป็นนายกรัฐมนตรี ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งต้องการใครเป็นนายกรัฐมนตรีก็เลือกพรรคที่เสนอชื่อบุคคลนั้นๆเพื่อเข้าไปเลือกบุคคลนั้นๆที่ตนเองหมายตาไว้ว่า จะเป็นนายกรัฐมนตรีในรัฐสภา
-ได้มีส่วนในการยุติปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ด้วยการพิจารณาอย่างถ่องแท้ด้วยวิจารณญาณของตนว่า เลือกใครเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว ความขัดแย้งทางการเมืองสิ้นไปแน่ก็เลือกพรรคการเมืองนั้นที่จะสนับสนุนคนที่จะยุติความขัดแย้งนั้นได้จริงๆ
ความขัดแย้งหรือความเห็นต่างที่นักการเมืองต่างๆยกวาทะมาถกเถียงกันตอนนี้ จะยุติลงได้ก็ด้วยการลงคะแนนของปวงชนชาวไทยที่จะเดินเข้าคูหาในวันที่ 24 มีนาคม 2562 เท่านั้น ขอให้ทุกท่านภูมิใจว่า นับตั้งแต่วันประกาศพระราชกฤษฎีกากำหนดวันเลือกตั้ง อำนาจอธิปไตยที่จะออกแบบโฉมหน้าประเทศไทย หรือ โฉมหน้านายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีอยู่ในมือของท่านแล้ว โปรดไปแสดงอำนาจอธิปไตยของท่านอย่างพร้อมเพรียงกัน วันเลือกตั้งเป็นวันที่ประชาชนกลายเป็นเทวดา เพราะนักการเมืองชอบพูดว่า เสียงของประชาชนคือเสียงสวรรค์ จงตระหนักถึงความเป็นใหญ่ของประชาชนตรงนี้ให้มาก ส่วนท่านจะใช้เสียงสวรรค์ดึงนักการเมืองคนไหนขึ้นสวรรค์ หรือ จะจับนักการเมืงอคนไหนโยนลงนรก เป็นหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์ของท่านแล้ว โปรดใช้เสียงสวรรค์ สร้างสรรค์เมืองไทยอันเป็นที่รักของเราให้มีความสุขสงบดั่งแดนสวรรค์
ข้อความที่กล่าวมาทั้งหมดนี้คงจะเป็นเหตุผลพอเพียงที่จะตอบคำถามว่า ทำไมต้องไปเลือกตั้ง ถ้าเลือกตั้งนักการเมืองดี เป็นศรีแก่ประเทศ ถ้าเลือกตั้งนักการเมืองเปรตๆ (ชอบโกงกินทุกอย่างที่ขวางหน้า) ประเทศจะล่มจม ปวงชนชาวไทยต้องการให้ประเทศรุ่งเรืองหรือรุ่งริ่ง ขึ้นอยู่กับทุกมือของท่านที่จะดลบันดลให้เป็นไป ขอทิ้งท้ายว่า รักประชาธิปไตยต้องไปเลือกตั้ง
วันที่ 15 มีนาคม 2562 เวลา 20.00 น.
วัดพุทธปัญญา เมืองโพโมน่า รัฐแคลิฟอร์เนีย