คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่มีนายนุรักษ์ มาประณีต เป็นประธาน ออกนั่งบัลลังก์ เมื่อวันที่ 7 มีนาคม เพื่ออ่านคำวินิจฉัยในคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยเพื่อมีคำสั่งยุบพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.)
โดยประกาศว่าศาลมีมติเอกฉันท์ให้ยุบพรรค ทษช. ด้วยเหตุผลที่ระบุว่า การกระทำของ ทษช. ในการเสนอชื่อทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เพื่อแข่งขันกับพรรคการเมื่องอื่นๆ ในการณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง และเสนอเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นการกระทำที่ย่อมเล็งเห็นได้ว่าจะส่งผลต่อระบอบการปกครองของประเทศไทยให้แปรเปลี่ยนไปสู่สภาพที่ว่าพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของรัฐ และมีพระบรมวงศานุวงศ์ใช้อำนาจการเมือง
"สภาพการณ์เช่นนี้ย่อมทำให้ระบอบประชาธิปไตยของไทยที่ถือคติธรรมที่ว่าทรงราชย์ แต่มิได้ทรงปกครอง ย่อมถูกเซาะกร่อนบ่อนทำลายไปให้เสื่อมทราม”
ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีมติเอกฉันท์ให้ยุบ ทษช. ตามมาตรา 92 วรรคสองแห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง
มีมติ 6 ต่อ 3 ให้สั่งเพิกถอนสิทธิทางการเมืองของคณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) ที่ดำรงตำแหน่ง ณ วันที่ 8 ก.พ. ซึ่งเป็นวันที่มีการกระทำความผิด
มีมติเอกฉันท์ให้เพิกถอนสิทธิการเมือง กก.บห.ทษช. เป็นเวลา 10 ปี
ถามว่าผลจากมติของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวนี้ จะมีผลอย่างไรบ้าง
:-ผลที่ตามมาทางกฎหมาย :
คณะกรรมการบริหารพรรค 13 คน (ไม่นับนายรุ่งเรือง พิทยศิริ ที่ขอลาออกจากกก.ห. เมื่อ 4 ก.พ.) ถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งทันทีตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ แม้อดีตกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เคยตีความไว้ว่าเป็นการ "ตัดสิทธิเล่นการเมืองตลอดชีวิต" (ม. 98(5) ของ รธน.) แต่มติศาลรัฐธรรมนูญให้ตัดสิทธิเพียง 10 ปี
คณะกรรมการบริหารพรรค 13 คน ห้ามมีส่วนร่วมในการจัดตั้งพรรคใหม่ภายใน 10 ปี (ม. 94 ของ พ.ร.ป. พรรคการเมือง)
ผู้สมัคร ส.ส. ของ ทษช. 282 คน ต้อง "แพ้ฟาล์ว" ทันที เพราะขาดคุณสมบัติการเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากสังกัดพรรคการเมืองไม่ถึง 90 วันก่อนวันเลือกตั้ง (ม. 97(3) ของ รธน.) ทั้งนี้แบ่งเป็นผู้สมัคร ส.ส. แบบแบ่งเขต 174 คน (เดิมส่ง 175 คน แต่มี 1 คน ที่ กกต. ไม่ประกาศ คุณสมบัติ) และบัญชีรายชื่อ 108
ห้ามใช้ชื่อ ชื่อย่อ โลโก้พรรคที่ถูกยุบอีกต่อไป (ม. 94 ของ พ.ร.ป. พรรคการเมือง)
:-ผลที่ตามมาทางการเมือง :
คำสั่งยุบพรรคที่ออกมาในเวลาไม่ถึง 17 วันก่อนการเลือกตั้ง ทำให้เกิดผลกระทบต่อยุทธศาสตร์ที่ถูกเรียกว่า "แตกแบงก์พันเป็นแบงก์ร้อย" ซึ่งคิดค้นขึ้นออกมาเพื่อหนีจาก "กับดักรัฐธรรมนูญ" โดยนักการเมืองสังกัดพรรคเพื่อไทย (พท.) บางส่วนได้ "แตกตัว-แตกทัพ" ย้ายไปสังกัด ทษช. และเดินเข้าสู่สนามเลือกตั้งแบบพันธมิตร โดย พท. ส่งผู้สมัคร ส.ส. เขต 250 คน บัญชีรายชื่อ 97 คน ส่วน ทษช. ส่งผู้สมัคร ส.ส. เขต 175 คน (ยึดตัวเลขก่อน กกต. ประกาศรับรองคุณสมบัติ) และบัญชีรายชื่อ 108 คน
ว่ากันว่าตามแผนการเดิม พท. ต้องหิ้ว ส.ส. เขตเข้าสภาให้มากที่สุด ส่วน ทษช. คอยเก็บ "คะแนนเสียงตกน้ำ" ของผู้สมัคร ส.ส. เขตไปนับรวมเป็นคะแนน ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ เมื่อเสียงของ ทษช. หายไปส่งผลกระทบทางการเมืองอย่างมิอาจปฏิเสธ สรุปได้ ดังนี้
มีอย่างน้อย 100 เขตเลือกตั้ง จากทั้งหมด 350 เขตเลือกตั้ง ที่จะไม่มีผู้สมัคร ส.ส. ในนาม "พรรคทักษิณ" เลย ไม่ว่าจะเป็น พท. หรือ ทษช. (เดิม พท. สับหลีกให้ ทษช.)
ในเขตเลือกตั้งที่ไม่มีผู้สมัครจาก "พรรคทักษิณ" คะแนนเสียงมีแนวโน้มไหลไปอยู่ที่พรรคการเมืองที่เรียกตัวเองว่า "ฝ่ายประชาธิปไตย" พรรคอื่น ๆ อาทิ พรรค พรรคอนาคตใหม่, พรรคเสรีรวมไทย, พรรคประชาชาติ
คะแนนเสียงที่ไปเพิ่มให้ "พรรคฝ่ายประชาธิปไตย" ไม่ได้การันตีโอกาสในการจัดตั้งรัฐบาล เนื่องจากเป็นฐานเสียงที่อยู่ในตะกร้าเดิม
ใน "พื้นที่ทับซ้อน" 75 เขต ที่ พท. กับ ทษช. เคยส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งทั้งคู่ ประชาชนผู้นิยมใน "พรรคทักษิณ" อาจสับสนน้อยลงและตัดสินใจได้ง่ายขึ้น