ต่อมา ทำเนียบขาวได้ออกแถลงการณ์ระบุว่า ผู้นำทั้งสองมีการเจรจาที่สร้างสรรค์ โดยหารือกันในหลายแนวทางที่จะทำให้การปลดอาวุธนิวเคลียร์และการพัฒนาทางเศรษฐกิจของเกาหลีเหนือมีความคืบหน้า แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงใด ๆ ได้ในขณะนี้ แต่จะทำงานร่วมกันต่อไปเพื่อให้มีการพบเจรจากันอีกในอนาคต
ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะอะไรกันแน่ แต่หลายฝ่ายคาดว่าอาจมาจากประเด็นปัญหาของนายทรัมป์ กรณีที่นายไมเคิล โคเฮน อดีตทนายความของเขาขึ้นให้การต่อคณะกรรมาธิการสืบสวนของรัฐสภาสหรัฐฯ ว่า นายทรัมป์สั่งให้เขาโกหกเพื่อปกปิดสายสัมพันธ์ทางธุรกิจกับรัสเซีย และปิดบังข้อเท็จจริงที่ว่าเขาอยู่เบื้องหลังการเปิดเผยข้อมูลทางอีเมลที่ทำลายความน่าเชื่อถือของนางฮิลลารี คลินตัน คู่แข่งในการเลือกตั้ง
รายงานอีกกระแสคาดการณ์ว่า ทั้งสองฝ่ายอาจตกลงกันไม่ได้ในเรื่องการปิดโรงงานนิวเคลียร์ที่เมืองยองบอน โดยก่อนหน้านี้เกาหลีเหนือต้องการให้สหรัฐฯ ผ่อนคลายมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจลง เพื่อแลกกับการดำเนินการดังกล่าวซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการปลดอาวุธนิวเคลียร์ แต่นายทรัมป์อาจไม่ตกลงเห็นพ้องด้วยในครั้งนี้
ก่อนหน้านี้บรรยากาศการเจรจาในช่วงเช้าเป็นไปด้วยดี โดยในระหว่างการประชุมโต๊ะกลมซึ่งเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนเข้าสังเกตการณ์ครู่หนึ่ง ผู้นำเกาหลีเหนือเผยว่าเขายินดีจะให้จัดตั้งสำนักงานเพื่อการติดต่อประสานงานระหว่างสหรัฐฯ และเกาหลีเหนือขึ้นในกรุงเปียงยาง อันเป็นก้าวสำคัญในการกระชับความร่วมมือระหว่างสองประเทศในระยะยาว เนื่องจากขณะนี้ทั้งสองประเทศยังไม่มีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน จึงไม่มีการจัดตั้งสถานทูตและการประสานงานต่าง ๆ ที่ผ่านมาต้องทำผ่านคณะทูตของประเทศตัวแทน
นายคิม จอง อึน ยังได้เน้นย้ำถึงความตั้งใจจริงที่จะปลดอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครอง โดยได้ตอบคำถามจากสื่อมวลชนรายหนึ่งในเรื่องดังกล่าวว่า "หากผมไม่เต็มใจที่จะทำเช่นนั้น ก็คงไม่มาอยู่ตรงนี้" คำตอบของนายคิมทำให้ผู้นำสหรัฐฯกล่าวชื่นชมว่า "นั่นอาจเป็นคำตอบที่ดีที่สุดเท่าที่คุณเคยได้ยินมา"
สำหรับข้อกังขาที่ว่าได้มีการหยิบยกประเด็นเรื่องปัญหาสิทธิมนุษยชนในเกาหลีเหนือขึ้นมาเจรจาในครั้งนี้ด้วยหรือไม่ ประธานาธิบดีทรัมป์ยืนยันว่ามีการเจรจากันในทุกประเด็นที่เกี่ยวข้อง ทำให้บรรดาผู้สังเกตการณ์ชี้ว่าหากมีการพูดคุยกันในเรื่องดังกล่าวจริงโดยไม่หลบเลี่ยง ก็ถือว่าเป็นความสำเร็จขั้นหนึ่งที่คืบหน้าขึ้นกว่าการประชุมสุดยอดครั้งที่แล้ว.