เปิดสอน “วิปัสสนากรรมฐาน” ขั้นพื้นฐาน วันที่ 10-15 กุมภาพันธ์นี้ ที่วัดศรีโสดา เมือง ซัน แวลเล่ย์ ตั้งแต่เวลา 5 โมงเย็น ไปจนถึง 2 ทุ่ม กิจอันเป็นกุศลนี้ มีการสอนฟรี ทำ “พวงมาลัยพลาสติก” อันเป็น “เครื่องแขวน” ที่ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ มีพระราชประสงค์ให้ทำการอนุรักษ์ และกระจายประโยชน์เข้าสู่วัดสายปฏิบัติ เพราะเป็นการทำงานที่ช่วยดึงสมาธิให้จรดจ่ออยู่กับ “ปัจจุบันขณะ”
อาจารย์เพ็ญสินี พงสุวรรณ หรือ “อาจารย์แม่อี๊ด” ซึ่งเดินทางมาจากเมืองไทยพร้อมกับ อาจารย์ณัชดวง วัชรสารทรัพย์ (อาจารย์หมี่) ตามคำเชิญของ พระเดชพระคุณพระครูนิวาส จริยวาท หรือ “พระอาจารย์มณเฑียร” เพื่อให้มาทำการสอนวิปัสสนากรรมฐานให้กับพุทธศาสนิกชนที่สนใจ ทั้งหมดเป็นเวลา 5 วัน
“...ป้าสอนวิปัสสนากรรมฐานในแบบที่เรียนมาจากหลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม วัดอัมพวัน อำเภอ พรหมบุรี จังหวัด สิงห์บุรี ท่านสอนป้ามาตั้งแต่ พ.ศ.2512 ป้าเป็นลูกศิษย์ท่านตั้งแต่วัดอัมพวันยังไม่มีอะไรเลย ท่านเมตตา เวลาไปเนี่ยจะสอนตัวต่อตัว สอนวิธีดูลมหายใจเข้า-ออก เพราะงั้นป้าจะได้อะไรจากท่านเยอะ แล้วก็จะรู้เลย รู้ว่ามีจริง อันนี้เป็นส่วนตัวนะคะ ป้าเห็นเป็นดวงเลย เป็นดวงสาดมา
...แล้วป้าก็เลยเริ่มไปรับใช้พระสายปฏิบัติ อย่างสมเด็จญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งตอนนั้นท่านยังไม่ได้เป็นสมเด็จพระสังฆราช หลวงปู่หลุยส์ หลวงพ่อชา พระสายปฏิบัติทั้งนั้น คือท่านก็ไม่ได้สอนอะไร แต่ป้าไปทำงานให้ท่าน ส่วนหลักของท่านจรัญก็สอนแบบ พอง ยุบ นะคะ สติปฐานสี่นี่ป้าก็เลยได้มาตั้งแต่บัดนั้น...”
ส่วนเรื่องการสอนทำ “พวงมาลัยพลาสติก” ใครสนใจจะเรียนทำงานนี้ “อาจารย์แม่อี๊ด” สอนฟรีทุกประการ แถมมีอุปกรณ์ให้ ทำเสร็จแล้วมีการใช้น้ำปรุงอบหอมที่ตัวพวงมาลัย ซึ่งถึงแม้จะไม่สามารถเก็บถนอมกลิ่นหอมนั้นไว้ได้นานเป็นปี แต่ก็สามารถซื้อน้ำอบตรา “เจ้าคุณ” มาประพรมได้ต่อความหอมไปอีก วิชานี้ใครเรียน และทำได้แล้ว นำไปจำหน่ายหารายได้เข้าบ้านได้อีกด้วย
“...คือตอนที่มีการถวายพระเพลิงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ป้าได้เข้าไปช่วยสอนทำดอกไม้จันทน์ที่ในสำนักพระราชวัง แล้วก็ต่อเนื่องมาว่าได้เรียนทำพวงมาลัยมาด้วย เพราะครูที่สอนเล่าว่าเป็นพระประสงค์ของสมเด็จพระเทพฯที่ต้องการให้อนุรักษ์ “เครื่องแขวน” และก็รับสั่งว่าถ้าจะให้เข้าถึงประโยชน์จริงๆ ก็ต้องนำเข้าวัด แล้วต้องเป็นวัดสายปฏิบัติธรรมด้วย ผลดีที่ได้ก็จะตกแก่ญาติโยมที่ไปวัด เพราะนี่คือการทำสมาธิ...”
สำหรับ ดร.ณัชดวง วัชรสารทรัพย์ (อาจารย์หมี่) ที่เดินทางมาด้วยกันนั้น เธอจบปริญญาเอกพุทธศาสตร์มาโดยตรง วิธีสอนของเธอจึงเน้นไปในเชิงเนื้อหา ความรู้ ศาสตร์แห่งการปฏิบัติที่ได้รับการอบรมมาจาก “ศูนย์ธรรมบุรี”
“อาจารย์หมี่” สนใจปฏิบัติธรรมมาตั้งแต่ปี 2548 และได้ฝึกกับ คุณแม่สิริ กรินชัย ก่อนจะมาเป็นอาจารย์สอนวิปัสสนากรรมฐาน เธอจบปริญญาตรีเศรษฐศาสตร์ ทำงานบริษัท แล้วก็เปิดบริษัททำธุรกิจสว่นตัว
“...อย่างว่านะคะคนเรา พอไม่เห็นทุกข์ก็ไม่เห็นธรรม ตอนนั้นทำงานเป็นเลขานุการ แล้วก็มาทำธุรกิจส่วนตัว พอเริ่มจะมีปัญหาเยอะ ก็เลยมาปฏิบัติ แล้วก็ชอบ ไปอบรมเป็นผู้ช่วยที่ยุวพุทธ เขาจะมีอบรมผู้ช่วยวิทยากรก่อนนะคะ พอจบคอร์สอบรมแล้วก็สอนสติปฐานสี่ พองหนอ ยุบหนอ ตั้งแต่ปี 2550 ก็สอนมาตลอด...
...แล้วก็มีสอน เป็นงานคอร์สพระ ก็ได้สอนพระอาจารย์หลายรูป อย่าง พระอาจารย์ประจ่า พระอาจารย์สว่าง พระครูเกษม พระครูสุรศักดิ์ แล้วก็ไปสอนหลายที่ นี่ก็เพิ่งกลับจากมาเลเซียมาเมื่อวันที่ 4 วัดไทยที่โน่นเขาเชิญไป สอนห้าวัน เป็นคอร์สของคนไทยที่อยู่ที่นั่น แต่เป็นชาวมาเลย์ที่พูดไทยได้บ้าง ซึ่งบางคนก็พูดไทยไม่ได้ ก็มีคนพูดได้ช่วยแปล ส่วนคนที่พูดไทยได้ ก็ถามเขาว่าทำไมพูดได้ เขาบอกเขาดูละครไทย เลยฟังเข้าใจ...
...คือดิฉันจบตรีเศรษฐศาสตร์ แล้วก็มาจบโทพุทธศาสตร์ สาขาวิปัสสนาโดยตรง วิปัสสนาก็คือต้องปฏิบัติธรรมเจ็ดเดือน ก็ไปปฏิบัติที่ “ศูนย์ธรรมบุรี” จังหวัดนครราชสีมา ก็มีซียาดอร์พม่ามาสอน มีล่ามแปล ก็นั่งสมาธิ เดินจงกรม ปิดวาจากันเจ็ดเดือน แต่จะคุยได้กับพระวิปัสสนาจารย์ กับเจ้าหน้าที่ที่คอยดูแลที่นั่น นอกจากนั้นจะไม่คุยกัน แต่ละวันก็จะมีตารางว่าถึงคิวใครมา “สอบอารมณ์”
ถ้าไม่มีคิวใครก็ปฏิบัติกันเองในห้อง ก็ปฏิบัติแบบ เดิน นั่ง แล้วถึงเวลาก็มาสอบอารมณ์ ช่วงปฏิบัติก็ไม่มีใครพูดกัน “สอบอารมณ์” ก็คือการส่งอารมณ์ของเราว่าเราปฏิบัติถึงขั้นไหน แล้วติดตรงไหนท่านก็จะ “ปรับอินทรีย์” เช่น อย่างคนคนนี้นั่งแล้วชอบง่วงก็ปรับให้เดินเยอะหน่อย เวลา “สอบอารมณ์” พระอาจารย์จะรู้ว่าเวลาเราส่งอารมณ์แล้วอินทรีย์เราไม่เสมอกัน เราขาดตัวไหน บางคนวิริยะเยอะ บางคนสมาธิน้อย เขาก็จะปรับให้อินทรีย์สมดุลย์
...พอปรับปุ๊บสภาวธรรมต่างๆ ที่ปฏิบัติมันก็จะก้าวหน้า แต่เราจะไม่พูดเรื่องฌาณ ไม่พูดเรื่องอะไรกัน มีแต่พระอาจารย์เท่านั้นที่รู้ว่าเราจะต้องต่อยอดยังไง เพราะแต่ละคนไม่เหมือนกัน ถึงจะปฏิบัติเจ็ดเดือนด้วยกัน พร้อมกัน แต่ แต่ละคนไม่เหมือนกัน คือหลักสูตรเขาเจ็ดเดือน พอจบก็มาเรียนต่อปริญญาเอกพุทธศาสตร์
สำหรับในห้าวันที่จะมาสอนที่วัดศรีโสดานี้ เป็นการสอนแบบการดู “ปลายลม” คือ พองหนอ ยุบหนอ ส่วน “ต้นลม” นั้นคือการสอนแบบ “อนาปานะสติ” ซึ่งถ้าใครไม่มีพื้นฐานไม่เคยฝึกมาก็จะดู “ต้นลม” ลำบากนิดนึง เพราะการดู “ต้นลม” นั้นมันละเอียดนะคะ แต่ “ปลายลม” เนี่ยจะเห็นชัด เพราะเราจะเห็นอาการเคลื่อนของท้อง เวลาพองก็จะเคลื่อนออก ท้องยุบก็จะเคลื่อนเข้า ไม่ใช่ว่าดูท้องเคลื่อนพอง-ยุบนะคะ แต่เป็นการดู “อาการเคลื่อน” ของท้อง ...
...อยากจะเชิญชวนให้มาลองดูว่า การสอนจริงๆ แล้วเนี่ยแต่ละครูบาอาจารย์ก็มีเทคนิคต่างกัน แต่ก็เป้าหมายเดียวกันคืออยากให้รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร เราปฏิบัติแล้วได้อะไร เรานำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไร และผลที่เกิดจะเป็นอย่างไร...”.
ต่อคำถามที่ว่า ถ้าหากมีใครสนใจ แต่ไม่ต้องการออกเดินทางไปเรียนกับครูบาอาจารย์ท่านใดทั้งสิ้น และฝึกอยู่โดดเดี่ยวด้วยตนเองจะทำ “ได้” และ “ดี” หรือไม่ “อาจารย์หมี่” เตือนว่า
“...คือต้องมีครูบาอาจารย์นิดนึง ช่วยชี้แนะนะคะ การที่ปฏิบัติแล้วไม่มีครูบาอาจารย์ขึ้นมา ถ้ามันเกิดอะไรขึ้นมาแล้วไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร แต่ถ้ามีครูบาอาจารย์เนี่ย...คือขั้นแรกเนี่ยมาฝึกก่อน แล้วเราก็ดูว่า “จริต” ของเราชอบแบบไหน บางคนอาจจะชอบ “อนาปานะสติ” บางคนอาจจะชอบ พองหนอ ยุบหนอ บางคนก็ สัมมา อะระหัง อะไรก็แล้วแต่...ดีหมด แต่จริงๆ แล้ว มันมี “สมถะ” กับ “วิปัสสนา” สองอย่างนี้จะควบคู่กันไปตลอด แต่ว่า “สมถะ” จะถึงขั้นๆ หนึ่งที่เป็น “ฌาณ” แล้วก็ต้องไปต่อยอดเป็น “วิปัสสนา” เพื่อจะให้บรรลุเป้าหมาย มรรคผล นิพพาน...”
มีรายละเอียดอีกมากมายในการ “ไต่” ไป เพื่อ “ต่อยอด” แต่ทางที่ดีอย่าเพิ่ง “ปรุงจิต” ให้ “ฟุ้ง” ไปล่วงหน้า เพราะว่าเป็น “กิเลส” ที่สมควร ลด ละ เลิกและการฝึกนั่งวิปัสสนากรรมฐานนั้น “อาจารย์หมี่” บอกว่า “มาปล่อย มาวาง” ไม่ได้ “มาเอา”
อย่า “ยึด” ว่าปฏิบัติแล้วต้องไปให้ถึงขั้นนั้นขั้นนี้ ปล่อย “จิต” ให้เดินทางไปตามธรรมชาติของมันเอง เราเฝ้า “ดู” มันก็พอ.