เมื่อค่ำวันเสาร์ที่ 19 มกราคมที่ผ่านมา ทีมงาน “ร้อยใจรัก” แห่งแอลเอ ได้มีการจัดงานเลี้ยงต้อนรับ ท่านกงสุลใหญ่ฯ มังกร ประทุมแก้ว พร้อมภริยา กมลภัทร ประทุมแก้ว หรือ “คุณแจง” และบุตรชาย “น้องปิ๊ง” กิตติธัช ประทุมแก้ว ที่ห้องอาหาร “คาเฟ่ เทียร์ร่า” ชั้นล็อบบี้ของโรงแรมฮิลตัน ยูนิเวอร์แซล
บรรยากาศหลังการรับประทานอาหาร ทางทีมงาน “ร้อยใจรัก” นำโดย บุญส่ง อนันตสุคนธ์ นักธุรกิจคนสำคัญของแอลเอ ได้นำดอกไม้ช่องาม กับเค้ก “ยินดีต้อนรับ” ออกมาให้มอบให้ท่านกงสุลใหญ่ มีการปราศรัยเชิงต้อนรับอย่างเป็นกันเอง เนื่องด้วยเมื่อสองปีที่ผ่านมา บุญส่ง อนันตสุคนธ์ ได้เดินทางไปจัดงานแต่งงานให้บุตรชาย และท่านกงสุลใหญ่มังกร ซึ่งขณะนั้นอยู่เมืองไทยพอดี จึงได้ให้เกียรติไปร่วมในงานด้วย
วาทะศิลป์แห่งการปราศรัยตอบรับของ ท่านมังกร ประทุมแก้ว เรียกเสียงฮาและอาการยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ถูกใจและประทับใจแขกผู้มีเกียรติชาวแอลเอ ที่ไปร่วมในงานเลี้ยงอาหารค่ำเป็นอย่างยิ่ง ท่านกล่าวเล่าย้อนตอนเจอกันที่เมืองไทย อ้างอิงถึงการสนทนาระหว่างกันว่า
“...พี่บุญส่งได้กล่าวกับผมว่า เมื่อไหร่จะได้มาเป็นกงสุลใหญ่ที่แอลเอ ซึ่งตอนนั้นผมยัง “ตกหล่น” อยู่ที่เมืองไทย...”
ประโยคที่ตามมาเป็นการให้กำลังใจและพร้อมช่วยเหลือเต็มแรงจากทีมงาน “ร้อยใจรัก” และ บุญส่ง อนันตสุคนธ์ ยังกล่าวว่าชาวแอลเอ และองค์กรต่างๆ จะร่วมมือช่วยงานท่านให้สำเร็จไปด้วยดี เหมือนทุกครั้งที่เรามี “พ่อเมือง” คนใหม่มาดูแล
จากการสนทนากันวันนั้น ท่านมังกรเผยว่าเหมือนท่านได้รับพร 2 ประการ จาก “พี่บุญส่ง” และประการแรกคือการได้มาเป็นกงสุลใหญ่ ณ นครลอส แอนเจลิส ได้บรรลุผลแล้ว ตอนนี้เหลือพรข้อที่สอง คือรอรับความร่วมมือจากพี่น้องชาวแอลเอทั้งหลาย ให้งานสำเร็จไปด้วยดี พูดยังไม่ทันจบประโยคดี ก็ได้รับเสียงฮือฮาพร้อมเสียงปรบมือพร้อมเพรียง
เนื่องด้วยก่อนหน้านี้ท่านกงสุลมังกรเคยมาปฏิบัติงานเป็นรองกงสุลใหญ่อยู่ที่นี่มาก่อน ความคุ้นเคยกันระหว่างเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น กับพี่น้องชาวแอลเอ รวมถึง “สื่อ”ทุกแขนง จึงเกิดความเป็นกันเองอย่างละเมียดละไม
หลังพิธีมอบดอกไม้และตัดเค้กแจกกันถ้วนหน้าแล้ว ได้มีการสนทนากันระหว่างกลุ่มคณะ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และต้อนรับทักทายกันอย่างทั่วถึง ครานี้ “คุณแจง” กมลภัทร ประทุมแก้ว ภริยาของท่านกงสุลใหญ่มังกร ได้แสดงความเป็นกันเองโดยการพูดคุยกับผู้นำองค์กรหลายๆ ท่าน
“คุณแจง” เป็นรองกงสุลใหญ่ อยู่ที่เมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา มาก่อน และตำแหน่งสุดท้ายก่อนมาปฏิบัติหน้าที่ในแอลเอ เธอมีตำแหน่งเป็น ผู้อำนวยการกองงานบริหารองค์การระหว่างประเทศ กรมองค์การระหว่างประเทศ
ด้วยบุคลิกและกิริยาอันงดงาม สมเป็น “ดอกไม้ของชาติ” ทำให้สุภาพสตรีหลายท่านในงานอุทานบอกต่อกันอย่างนอกหน้า...ภริยาท่านมังกร “ดูดี”
ต่อคำถามเชิงทักทายจากผู้เขียนในเรื่องทัศนคติต่อชุมชนไทยในแอล.เอ. “คุณแจง” แสดงความชื่นชมอย่างมาก โดยเฉพาะบทบาทของสตรีไทยที่นี่
“...ผู้หญิงไทยที่นี่มีความสามารถมาก นอกจากจะดูแลครอบครัวแล้วยังมีบทบาทของนักทำงาน ใช้เวลาว่างมาช่วยงานสังคม ต่างจากเมืองไทย ที่ผู้หญิงมีข้อจำกัดมาก ไม่สามารถทำอะไรได้หลากหลาย เนี่ย อย่างผู้นำองค์กรหลายๆ ท่านที่มาในงาน เป็นสุภาพสตรีที่เข้ามาทำประโยชน์ให้สังคม ความจริงนอกจากผู้หญิงจะได้ทำงานที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นแล้ว ในการมารวมตัวกันก็เป็นประโยชน์และความสุขให้กับตัวเองด้วย เพราะการมาเจอกันก็ได้พูดคุย ได้แชร์ปัญหา ช่วยกันแก้ปัญหาต่างๆ ใครมีอะไรก็มาช่วยกันคิดช่วยกันแก้ไข นอกจากจะได้ความสุขจากการทำงานแล้ว ก็เป็นการทำให้สุขภาพจิตแข็งแรงด้วย...แจงเห็นแล้วก็ชื่นใจ ...ไม่ใช่แต่เฉพาะที่แอล.เอ.นะคะ ที่ประเทศอื่นๆ ก็เหมือนกัน ผู้หญิงไทยมีศักยภาพมาก...
...ชุมชนไทยเราใหญ่พอสมควร ถือเป็นเรื่องสำคัญต่อการสนับสนุนให้ “นิว เจน” (new generation) เข้าไปมีบทบาททางการเมือง อันนี้เราต้องช่วยกันผลักดันและส่งเสริมให้คนรุ่นต่อไปของเรา เข้าไปมีบทบาทในการเมืองมากๆ เพื่อที่จะได้เข้าใช้สิทธิ์ใช้เสียงนำผลประโยชน์ออกมา โดยเฉพาะการส่งเสริมผลประโยชน์ด้านการค้า การลงทุนคือด้านเศรษฐกิจ นี่สำคัญมาก, การสร้างพลังให้ชุมชนไทย, ส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่ของเราเข้าไปมีบทบาท เพื่อที่จะได้นำงบประมาณที่เขาตั้งไว้ให้อยู่แล้วนั้น มาสนับสนุนงานในชุมชนของเราต่อไป...
...ที่แวนคูเวอร์ ชุมชนของชาวเวียดนาม ซึ่งเขาก็รวมตัวกันอย่างเข้มแข็ง มีการสนับสนุนและส่งเสริมให้คนของเขาเข้าไปทำงานในวงการการเมือง จนสามารถได้ผลประโยชน์หลายอย่างเข้ามาในชุมชน โดยเฉพาะสวัสดิการการดูแลเด็กหลังจากเลิกเรียน (After School Program) ตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึง สองทุ่ม ผู้ปกครองสามรถทำงานโดยไม่ต้องห่วงว่าจะไม่มีใครดูแลเด็กๆ เลย แล้วก็ที่ซาน ฟรานซิสโก ชุมชนของฟิลิปปินส์ เขาก็ส่งคนของเขาเข้าไปทำงานในวงการการเมือง แล้วก็ได้ผลประโยชน์ออกมาให้กับผู้สูงอายุ ในเรื่องของสวัสดิการ การดูแลสุขภาพ ค่ายาค่าหมอ และที่อยู่อาศัยต่างๆ...”
ส่วนภาพลักษ์ในการ “พรีเซ้นท์” ความเป็นหญิงงามตามแบบไทย นอกเหนือจากการแสดงออกด้วยบุคลิกที่มีท่วงท่าเนิบละมุน และการแต่งตัวด้วยผ้าทอมือ, ผ้าไหม อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่ถือเป็นการคงไว้ซึ่งวัฒนธรรมการแต่งตัว และช่วยเผยแพร่ผ้าแพรงามๆ ให้กับประเทศในต่างแดนแล้ว “คุณแจง” ยังเผยข้อมูลส่วนตัวอีกด้วย
“...จะว่าไปการแสดงออกของหญิงไทยก็งดงามอยู่แล้ว เนี่ย...อย่างนี้ (ช่วงนั้น นายกสมาคมไทยปักษ์ใต้ จุฑาภรณ์ ไชยรัตติเวช เข้ามายกมือไหว้ ร่ำลาคุณแจงกลับบ้าน พอดี) เวลาเราเจอกันหรือจากกันก็จะยกมือไหว้ด้วยความอ่อนน้อม เป็นเอกลักษณ์ของเรามาตั้งแต่ไหนแต่ไร ที่เหลือก็เป็นการแต่งตัวด้วยผ้าไทย...อย่างของแจงนี่ก็เป็นผ้า “โอท็อป” จากเมืองไทย เวลาเราไปต่างจังหวัดก็ซื้อกลับมาตัดเป็นชุดแซ็กได้ ซึ่งอยู่ในราคา 160 บาท...”
แฟชั่น “คุณแจง” คืนนั้นเป็นชุดผ้าทอมืองดงาม กระโปรงชุดยาวถึงเข่า มีเสื้อคลุมสีนวลละมุนตา เข้ากับชุดเดรส งามสง่าสมเกียรติสตรีไทยในระบบข้าราชการชั้นสูง ใส่แล้วดูแพงกว่าราคา 160 บาทอย่างที่เธอบอก เพราะคนใส่เห็น “คุณค่าแท้” แห่งฝีมือทอของชาวบ้าน การสนับสนุนซื้อผลงานจากแรงงานต่างจังหวัด จึงเป็นการ “ต่อลมหายใจ”ของคนในชนบท...คุณภาพทาง “ความคิด” ของเธอจึงเข้าไป “เพิ่มพลัง” ให้ผ้าทอ “ทรงคุณค่า” ขึ้น
ค่ำคืนอันน่ายินดีนี้ พาให้คิดถึงประโยคหนึ่งที่พระศาสดาของเราท่านตรัสไว้ว่า คนดีๆ ย่อมรายล้อมไปด้วยคนดีและเรื่องดีๆ เพราะความดีจะดึงดูดสิ่งดีๆ และคนดีๆ เข้ามา ดังเช่น นักปราชญ์ย่อมสมาคมกับนักปราชญ์...”คุณแจง” ถ่ายทอดบทสนทนาตั้งแต่ต้นจนถึงนาทีที่ต้องลาจากกัน ทำให้มองเห็นไปถึงวันที่ผ่านมา...เธอคงถูกรายล้อมพร้อมเพรียงไปด้วยผู้คนชาญฉลาดมากมาย
บุคลิกและความแตกฉานฉายในการปฏิสัมพันธ์กับใครๆ จึงเป็นแบบ...คิดอย่างผู้มีปัญญา แต่สื่อสารอย่างคนทั่วไป...ง่ายงามตามแบบ “คุณแจง”.