สหรัฐเผชิญวิกฤตชัตดาวน์มาแล้วมากกว่า 10 ครั้ง โดยครั้งแรกเกิดขึ้นปี 1980 ในยุคของอดีตประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์ การชัตดาวน์ครั้งแรกเกิดขึ้นเพียง 1 วัน และสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจประมาณ 700,000 ดอลลาร์ จากนั้นเหตุการณ์ชัตดาวน์ก็เกิดขึ้นเป็นระยะๆ แต่กินเวลาไม่นาน
จนกระทั่งในปี 1996 ซึ่งเป็นยุคของอดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน เหตุการณ์ชัตดาวน์เกิดขึ้นเป็นเวลานานถึง 21 วัน มีมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจประมาณ 400 ล้านดอลลาร์
ต่อมาในปี 2013 ชาวอเมริกันก็ถูกกรีดแผลที่รอยเดิมอีกครั้ง เมื่อหน่วยงานของรัฐถูกชัตดาวน์เป็นเวลา 16 วัน การชัตดาวน์ในปีนั้นได้สร้างความระส่ำระสายให้กับสหรัฐไม่น้อยไปกว่าปี 1996 เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่เศรษฐกิจถูกผสมโรงด้วยวิกฤติการคลัง หรือ Fiscal Cliff ส่งผลให้พนักงานของรัฐบาลกว่า 7 แสนคนต้องถูกพักงานโดยไม่ได้รับค่าตอบแทน ขณะที่พิพิธภัณฑ์และอุทยานแห่งชาติทั่วประเทศ รวมถึงอนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพ ต้องปิดให้บริการโดยไม่มีกำหนด ส่วนมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจในปีนั้นอยู่ที่ประมาณ 2.1 พันล้านดอลลาร์
ชนวนเหตุของการชัตดาวน์ในปี 2013 มาจากความขัดแย้งเรื่องกฎหมาย Patient Protection and Affordable Care Act หรือกฎหมายประกันสุขภาพที่มีชื่อเล่นว่า "โอบามาแคร์" ซึ่งพรรคเดโมแครตภูมิใจนำเสนอด้วยความแคร์ แต่รีพับลิกัน "ไม่แคร์" และขัดขวางอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู เพราะเชื่อว่ากฎหมายโอบามาแคร์เพิ่มภาระให้กับภาคประชาชนและภาคธุรกิจ...ดังนั้นการต่อสู้ทางการเมืองจึงเกิดขึ้นระหว่างสองพรรคใหญ่ในตำนาน และจบลงด้วยความเสียหายทางเศรษฐกิจ
กระทั่งเมื่อช่วงพ้นเที่ยงคืนวันศุกร์ที่ 21 ธ.ค. 2018 ชาวอเมริกันต้องฝันร้ายอีกครั้ง เมื่อหน่วยงานของรัฐบาลถูกชัตดาวน์ เนื่องจากฝ่ายรัฐบาลของประธานาธิบดีทรัมป์และแกนนำเดโมแครตในสภาคองเกรส ไม่สามารถตกลงกันได้ในเรื่องงบประมาณสร้างกำแพง
คงไม่เกินไปนักหากจะพูดว่า ชัตดาวน์คือหมากตัวหนึ่งบนกระดานการเมืองที่พรรคเดโมแครตและรีพับลิกันต่างก็ใช้ในเกมสลับร่างสร้างอำนาจ โดยย้อนไปเมื่อปี 2013 เมื่อหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐถูกชัตดาวน์ในยุคของโอบามานั้น ร่างกฎหมายโอบาแคร์ได้ถูกใช้เป็นเครื่องต่อรองทางการเมือง โดยฝ่ายเดโมแครต ซึ่งครองเสียงข้างมากในวุฒิสภาสมัยนั้น ต้องการให้กฎหมายงบประมาณบรรจุโอบามาแคร์ลงไปด้วย แต่พรรครีพับลิกัน ซึ่งเป็นเสียงส่วนใหญ่ในสภาผู้แทนราษฎรในยุคนั้นไม่เห็นด้วย และเสนอให้เลื่อนการบังคับใช้โอบามาแคร์ออกไปอีกหนึ่งปี มิฉะนั้นจะไม่ผ่านร่างงบประมาณสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่างๆของรัฐบาลกลางสหรัฐ ด้วยเหตุนี้เองจึงนำมาสู่เหตุการณ์ชัตดาวน์ครั้งแรกในรอบ 17 ปีที่สร้างความปั่นป่วนให้กับสหรัฐ รวมไปถึงตลาดการเงินทั่วโลกในเวลานั้น
โอบามาแคร์ ถือเป็นหนึ่งในนโยบายเด่นของอดีตประธานาธิบดีโอบามาซึ่งต้องการขยายความคุ้มครองประสุขภาพให้ครอบคลุมชาวอเมริกันราว 15% หรือ 40-50 ล้านคน โดยกฎหมายกำหนดให้ชาวอเมริกันทุกคนต้องซื้อประกันสุขภาพ ส่วนผู้มีฐานะยากจนที่ไม่สามารถซื้อประกันดังกล่าวเองได้นั้น รัฐบาลจะจัดสรรงบประมาณอุดหนุนให้กรมธรรม์หรือเบี้ยประกันถูกลง นอกจากนี้ กฎหมายยังกำหนดให้ผู้ประกอบการที่มีพนักงานหรือลูกจ้างทำงานเต็มเวลามากกว่า 50 คนจะต้องช่วยทำประกันสุขภาพให้ลูกจ้าง
แต่พรรครีพับลิกันในยุคนั้นออกโรงคัดค้านกฎหมายโอบามาแคร์ชนิดหัวชนฝา เนื่องจากเห็นว่าเป็นการเพิ่มภาระให้กับประชาชนและภาคเอกชน อีกทั้งทำให้งบประมาณด้านบริการสุขภาพสูงเกินความจำเป็น นอกจากนี้ พรรครีพับลิกันยังอ้างข้อมูลจากผลการสำรวจของภาคธุรกิจว่า ผู้ประกอบการขนาดเล็กว่าจะไม่สามารถรับภาระค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น แม้จะได้ส่วนลดทางภาษีจากการทำประกันให้ลูกจ้างก็ตาม
กระทั่งในปี 2018 เมื่อการเมืองอเมริกันเปลี่ยนขั้ว โดยพรรคเดโมแครตกลับมาครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐหลังจากชนะการเลือกตั้งกลางเทอม และพรรครีพับลิกันมีเสียงส่วนใหญ่แค่ในวุฒิสภา ส่งผลให้การค้ำยันทางการเมืองกลับมาอีกครั้ง
ทั้งเดโมแครตและรีพับลิกันต่างก็กลับมาใช้หมากตัวเดิม คือเอาแรงจูงใจของตนเองเป็นตัวตั้ง และใช้วิกฤติชัตดาวน์เป็นเครื่องมือในการโค่นเอาชนะฝ่ายตรงข้าม
เหตุการณ์ชัตดาวน์ครั้งล่าสุดซึ่งล่วงเข้าสู่วันที่ 26 และทำสถิติยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ของสหรัฐนั้น มี "กำแพง" เป็นเดิมพัน เนื่องจากทรัมป์ตั้งความหวังเอาไว้สูงมากว่า กำแพงซึ่งมีความยาวถึง 2,000 ไมล์นี้ จะเป็นสิ่งตอบแทนคะแนนเสียงที่ "ชมรมคนรักทรัมป์" โหวตสนับสนุนให้ตนเองก้าวเข้าสู่ตำแหน่งสูงสุดทางการเมืองของสหรัฐ แต่ฝันอันยิ่งใหญ่ของทรัมป์ก็สะดุดลงตั้งแต่ก้าวแรก โดยในช่วงกลางปี 2017 ซึ่งเป็นปีที่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี สภาคองเกรสได้อนุมัติร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวเพื่อหลีกเลี่ยงชัตดาวน์ แต่ไม่พ่วงงบประมาณสร้างกำแพงรวมอยู่ในนั้น ถึงกระนั้นก็ตาม ทรัมป์ไม่เคยละความพยายาม และเร่งผลักดันงบประมาณสร้างกำแพงมาจนถึงขณะนี้
ขณะที่พรรคเดโมแครตยังคงใจแข็ง และใช้วาทะกรรมทางการเมืองเข้าสกัดนโยบายขายฝันฉบับนี้ของทรัมป์ว่า การสร้างกำแพงนั้นขัดต่อศีลธรรมสากล และชาวอเมริกันสามารถอยู่อย่างปลอดภัยโดยไม่ต้องใช้กำแพงราคาสูง นอกจากนี้ เดโมแครตยังยืนกรานที่จะไม่ผ่านร่างกฎหมายงบประมาณที่พ่วงงบสร้างกำแพง แม้ทรัมป์ขู่ว่าจะประกาศภาวะฉุกเฉิน เพื่ออาศัยอำนาจประธานาธิบดีในการใช้งบสร้างกำแพงโดยไม่ต้องรอการอนุมัติจากสภาคองเกรสก็ตาม.