อเมริกาและแคลิฟอร์เนีย
รายงานหน้าหนึ่ง : วิกฤติ ชัตดาวน์ และ กำแพงเจ้าปัญหา เครื่องมือการเมืองที่ทำให้ชาวอเมริกันฝันร้ายอีกครั้ง


โดนัลด์ ทรัมป์







โดย รัตนา พงศ์ทวิช

วันที่ 16 มกราคมที่ผ่านมา เป็นวันที่สถานการณ์ชัตดาวน์ หรือการปิดหน่วยงานของรัฐบาลชั่วคราวของสหรัฐ ก้าวเข้าสู่วันที่ 26

สาเหตุหลักมาจากการที่แกนนำพรรคโดแครตในสภาคองเกรสไม่ยอมอนุมัติร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราว ที่พ่วงงบสร้างกำแพงมูลค่ากว่า 5 พันล้านดอลลาร์ตามที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เรียกร้อง ขณะที่ทรัมป์เองก็ยืนกรานที่จะไม่ลงนามบังคับใช้ร่างกฎหมายฉบับใดก็ตามที่ไม่พ่วงเอางบประมาณสร้างกำแพงเอาไว้ด้วย

การค้ำยันทางการเมืองที่ต่างฝ่ายต่างก็ "ยอมหัก แต่ไม่ยอมงอ" เช่นนี้ ส่งผลให้พนักงานของรัฐบาลกว่า 8 แสนคนต้องหยุดพักงานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง แม้ความเดือดร้อนและเสียงร้องทุกข์ของประชาชนตาดำๆ เหล่านี้จะดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าทั้งสองฝ่ายจะยอมถอยกันคนละก้าว เพื่อเห็นแก่ปากท้องของประชาชนเหล่านี้

ย้อนไปเมื่อช่วงเช้าวันที่ 9 มกราคมที่ผ่านมา เมื่อทรัมป์เปิดห้องทำงานรูปไข่ในทำเนียบขาวเพื่อชี้แจงให้ชาวอเมริกันรับรู้ถึงความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลและสภาคองเกรสในประเด็นการสร้างกำแพงกั้นชายแดนเม็กซิโก จนนำไปสู่การชัตดาวน์ที่ยืดเยื้อ  การแถลงของทรัมป์ในวันนั้น สื่อยักษ์ใหญ่ของอเมริกาพร้อมใจกันให้เวลาในช่วงไพร์มไทม์เพื่อถ่ายทอดสดให้ประชาชนทั่วประเทศได้รับชม ซึ่งก็เป็นไปตามคาด เพราะทรัมป์ได้ใช้โอกาสนี้ "ละเลงภาพ" ความน่ากลัวของพื้นที่ชายแดนตอนใต้ที่ปราศจากกำแพง โดยคาดหวังว่าจะให้ชาวอเมริกันเป็นพยานถึงน่าสะพรึงกลัวและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับคนในชาติ หากเดโมแครตยังขัดขวางงบประมาณสร้างกำแพง

ใจความตอนหนึ่งของแถลงการณ์ทรัมป์ระบุว่า...

"I am speaking to you because there is a growing humanitarian and security crisis at our southern border. Our southern border is a pipeline for vast quantities of illegal drugs, including meth, heroin, cocaine, and fentanyl. Every week, 300 of our citizens are killed by heroin alone, 90 percent of which floods across from our southern border. More Americans will die from drugs this year than were killed in the entire Vietnam War... How much more American blood must be shed before Congress does its job?"

หลังการแถลงของทรัมป์ซึ่งใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีเสร็จสิ้นลง นางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ได้ตั้งโต๊ะแถลงตอบโต้อย่างทันควันร่วมกับนายชัค ชูเมอร์ ผู้นำเสียงข้างน้อยจากในวุฒิสภา โดยทั้งคู่ได้ปล่อยหมัดเด็ดที่พุ่งเสยคางงามๆของทรัมป์โดยตรงว่า ...

"President Trump must stop holding the American people hostage, must stop manufacturing a crisis, must reopen the government, and...must separate the shutdown from the arguments over border security"

คำกล่าวโทษของนางเพโลซี ถือว่าไม่ห่างจากความเป็นจริงมากนัก เพราะหลายฝ่ายมองว่า ทรัมป์กำลังใช้ประชาชนเป็นตัวประกัน โดยยอมให้ความเดือดร้อนของพนักงานรัฐบาลกว่า 8 แสนคนเป็นแรงขับเคลื่อนให้แกนนำเดโมแครต ยอมอนุมัติงบประมาณสร้างกำแพงกั้นชายแดนตามที่ตนเองต้องการ ...

ส่วนคำกล่าวโทษของทรัมป์ที่ส่งตรงถึงแกนนำเดโมแครตก็มีความจริงอยู่ด้วยเช่นกัน โดยผู้เชี่ยวชาญส่วนหนึ่งมองว่า พรรคเดโมแครตที่กลับเข้ามาครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรอย่างเป็นทางการหลังจากชนะการเลือกตั้งกลางเทอมนั้น ต้องการ "ดับฝัน" ทางการเมืองของนักธุรกิจแมว 9 ชีวิตอย่างทรัมป์ โดยหมายจะให้การคว่ำงบประมาณสร้างกำแพงเป็นหมากสำคัญที่จะล้มกระดานแห่งความทะเยอทะยานของประธานาธิบดีฝีปากกล้าผู้นี้ ซึ่งหากมองในมุมนี้แล้ว ก็เท่ากับว่า แรงจูงใจของทั้งสองฝ่ายก็ไม่ได้ใสสะอาดดังที่ต่างฝ่ายก็กล่าวอ้าง

ภาวะชัตดาวน์กำลังแปรเปลี่ยนจากประเด็นทางการเมืองไปเป็นผลกระทบที่มีต่อหลายภาคในระบบเศรษฐกิจ ดังจะเห็นได้จากผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เริ่มปรากฎให้เห็นชัดเจนออกมาเรื่อยๆ โดยล่าสุดคณะทำงานของทรัมป์คาดการณ์ว่า ความเสียหายที่เกิดจากชัตดาวน์จะมีมูลค่าสูงเป็น 2 เท่าจากที่คาดการณ์ในเบื้องต้น

ในช่วงแรก รัฐบาลคาดการณ์ว่า ภาวะชัตดาวน์จะทำให้ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ลดลง 0.1% ในทุกๆ 2 สัปดาห์ แต่ขณะนี้ รัฐบาลคาดว่า ภาวะชัตดาวน์จะทำให้ตัวเลข GDP ลดลง 0.1% ในทุกๆ 1 สัปดาห์ เนื่องจากในช่วงแรก รัฐบาลพิจารณาผลกระทบที่เกิดกับเจ้าหน้าที่ของรัฐจำนวน 800,000 รายที่จะไม่ได้รับเงินเดือน อันเนื่องจากภาวะชัตดาวน์ แต่ขณะนี้ รัฐบาลเชื่อว่าผลกระทบดังกล่าวจะทวีคูณ จากความเสียหายที่เกิดจากพนักงานเอกชนที่รัฐบาลจ้างงานตามสัญญาที่ต้องยุติการทำงาน รวมทั้งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของรัฐบาล และการดำเนินงานต่างๆที่ไม่สามารถเกิดขึ้นในช่วงชัตดาวน์

ขณะที่ศูนย์เพื่อความก้าวหน้าของอเมริกันซึ่งตั้งอยู่ในกรุงวอชิงตันคาดว่า สหรัฐจะเผชิญกับความเสียหายทางเศรษฐกิจราว 5 พันล้านดอลลาร์ในทุกๆ 2 สัปดาห์ที่ภาวะชัตดาวน์ดำเนินต่อไป หรือคิดเป็น 15 ล้านดอลลาร์ต่อชั่วโมง นอกจากนี้ วิกฤติชัตดาวน์ยังส่งผลให้บรรดาธุรกิจขนาดเล็ก, บริษัทต่างๆที่ยื่นคำร้องขอเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะเป็นครั้งแรก (IPO) รวมถึงผู้ผลิตและโรงกลั่นสุราที่กำลังรอใบอนุญาต, การดำเนินการด้านการนำเข้าสินค้า, การยื่นคำร้องขอยกเว้นภาษี, ยื่นจดจำนอง, ผู้ที่รอรับเงินอุดหนุนต่างๆ, การทำสัญญา และการชำระเงินค่าสินค้าและบริการ ซึ่งถูกเตรียมการไว้หมดแล้วนั้น ต่างก็ต้องล่าช้าออกไป

นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวในการประชุมสมาคมเศรษฐกิจแห่งกรุงวอชิงตันว่า ภาวะชัตดาวน์ที่ยืดเยื้อออกไปยาวนานจะเป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจของสหรัฐ และทำให้เฟดประเมินสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศยากขึ้น

ทางด้านนายเจมี ไดมอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเจพีมอร์แกน เชส เตือนว่า เศรษฐกิจสหรัฐอาจขยายตัว 0% ในไตรมาสแรกของปีนี้ หากการชัตดาวน์ยังคงยืดเยื้อต่อไป โดยนายไดมอนเรียกร้องให้บรรดาผู้นำของสหรัฐทำงานร่วมกันอย่างสร้างสรรค์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภคและภาคธุรกิจ ขณะที่รัฐบาล, ประชาชน และภาคธุรกิจต้องทำงานร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหา และสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจเพื่อประโยชน์ของทุกคน

ชัตดาวน์ได้กลายเป็น "เม็ดทรายในรองเท้า" ที่ชาวอเมริกันต้องสวมใส่ จะย้อนกลับก็ไม่ได้ จะเดินต่อไปก็เจ็บ คงทำได้แต่เพียงรอคอยให้ทุกขั้วอำนาจทางการเมืองยอมถอยคนละก้าว เพื่อเคาะทรายเม็ดนี้ออกจากรองเท้า เพื่อให้ประเทศชาติและประชาชนเดินต่อไปได้.

 




นำเสนอข่าวโดย : ภาณุพล รักแต่งาม,
แหล่งที่มาข่าวโดย : สยามทาวน์ยูเอส

แสดงความคิดเห็น

Name :

Detail :




ฉบับที่
599
siamtownus newspaper








Hots Clip VDO ดูทั้งหมด

ขออภัยสัญญาณ VDO มีปัญหากำลังดำเนินการแก้ไข