ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศกร้าวเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันคริสต์มาสว่า เขาขอยืนกรานจะไม่ลงนามในกฎหมายงบประมาณชั่วคราว หากสภาครองเกรส ยังไม่เห็นชอบกับข้อเสนองบประมาณจำนวน 5,000 ล้านดอลลาร์สำหรับสร้างกำแพงกั้นพรมแดนสหรัฐฯ และแม็กซิโก ซึ่งท่าทีของเขาทำให้เกิดวิกฤตชัตดาวน์ ส่งผลให้หน่วยงานของรัฐบาลกลางประมาณหนึ่งในสี่ต้องปิดตัวลงมาตั้งแต่วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม เพราะไม่มีงบประมาณสำหรับบริหารงาน
ทั้งนี้ ข้อเรียกของทรัมป์สำหรับสร้างสิ่งกีดขวางทางกายภาพตามแนวชายแดนสหรัฐฯ ติดกับเม็กซิโก คือเสาหลักในนโยบายหาเสียงเลือกตั้งของทรัมป์ แต่มันถูกปฏิเสธโดยเดโมแครตและสมาชิกรีพับลิกันบางส่วน ดังนั้นเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่เขาต้องการ ทรัมป์ จึงปฏิเสธลงนามในร่างกฎหมายอนุมัติงบประมาณชั่วคราว อันเป็นเหตุให้หน่วยงานรัฐบาลบางส่วนต้องปิดตัวลง
"ผมไม่สามารถบอกกับคุณได้หรอกว่าเมื่อไหร่หน่วยงานรัฐบาลจะกลับมาเปิดทำการอีกครั้ง" ประธานาธิบดีจากรีพับลิกันบอกกับผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาว หลังการพูดคุยทางไกลประจำปีในวาระฉลองเทศกาลคริสต์มาส กับเหล่าทหารสหรัฐฯที่ประจำการในต่างแดน " ผมไม่อาจบอกได้หรอกว่ามันจะเปิดทำการเมื่อไหร่ จนกว่าเราจะมีกำแพง, รั้ว หรืออะไรก็ตามที่พวกเขาอยากเรียก"
ทรัมป์ยังได้ย้ำคำกล่าวอ้างที่เขียนบนทวิตเตอร์เมื่อวันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม ซึ่งระบุว่าเขาได้อนุมัติสัญญาฉบับหนึ่งสำหรับก่อสร้างกำแพงในเทกซัสเป็นระยะทาง 185 กิโลเมตร แม้ทำเนียบขาวไม่ได้ให้รายละเอียดใดๆของโครงการนี้
ผู้นำสหรัฐฯ บอกว่าเขาจะเดินทางไปตรวจเยี่ยมแนวชายแดนดังกล่าวในช่วงสิ้นเดือนมกราคม ในวาระเริ่มต้นงานก่อสร้าง "มันกำลังจะถูกสร้าง หวังว่ามันจะเป็นไปด้วยความรวดเร็ว"
ประธานาธิบดีรายนี้บอกว่าเขามีเป้าหมายมีแนวกำแพงราว 500 ถึง 550 ไมล์ ตามชายแดนที่มีระยะทางทั้งหมดกว่า 2,000 ไมล์ และอยากให้แล้วเสร็จ ทั้งจากการปรับปรุงใหม่หรือสร้างใหม่ ก่อนถึงศึกเลือกตั้ง
"ทุกอย่างจะเป็นไปอย่างราบรื่น" เขากล่าว พร้อมบอกว่าพวกลูกจ้างรัฐที่ต้องพักงานจากภาวะชัตดาวน์บางส่วนก็อยากให้สร้างกำแพงเช่นกัน กำแพงที่ทรัมป์บอกว่ามันจะช่วยสกัดกั้นพวกคนลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย
ชัค ชูเมอร์ แกนนำเดโมแครตในวุฒิสภาบอกเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ว่า ประธานาธิบดีต้องละทิ้งแผนสร้างกำแพง เพื่อกลับมาเปิดหน่วยงานรัฐบาลอีกครั้ง
นอกจากประเด็นชัตดาวน์แล้ว ปธน.ทรัมป์ยังได้กล่าวย้ำด้วยว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วเกินไป
ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์ได้ออกโรงวิพากษ์วิจารณ์ธนาคารกลางสหรัฐฯหลายครั้ง เนื่องจากผิดหวังที่เฟดเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯร่วงลงต่อเนื่องในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ซึ่งทรัมป์มองว่าเป็นความผิดของเฟด จนส่งผลให้มีข่าวลือหนาหูว่าเขาอยู่ในระหว่างพิจารณาที่จะขับนายเจอโรม พาวเวล พ้นจากตำแหน่งประธานเฟด
ก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่ชั่วโมง ก็มีข่าวที่ทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์ ถูกตำหนิอย่างรุนแรงจากชาวอเมริกันทัวไป หลังจากที่เขาถามเด็กวัย 7 ขวบคนหนึ่งว่า “จนป่านนี้ยังเชื่อเรื่องซานต้าคลอสอยู่อีกหรือ?”
เหตุการณ์เกิดขึ้นขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์ และภรรยา ได้ร่วมกิจกรรมของหน่วยป้องกันอากาศยานแห่งอเมริกาเหนือ (North American Aerospace Defense Command - NORAD) ซึ่งทุกปี จะเปิดโอกาสให้เด็กๆ โทรศัพท์เข้ามาสอบถามข้อมูลของซานตาครอสจาก “ระบบติดตามซานต้าฯ “ ของหน่วยงานแห่งนี้ โดยทุกคืนคริสต์มาสอีฟ (คืนก่อนวันคริสต์มาส) จะมีอาสาสมัครที่ “รักเด็ก” มาคุยโทรศัพท์และตอบอีเมล์เด็กๆ จำนวนมาก
ทั้งนี้ ผู้นำสหรัฐฯ ได้ตั้งคำถามกับหนูน้อยวัย 7 ขวบคนหนึ่งที่โทรเข้ามาถามไถ่ถึงซานตาครอสว่า “หนูยังเชื่อเรื่องซานต้าคลอสอยู่อีกหรือ” ก่อนจะบอกว่าอายุ 7 ขวบควรจะเรียนรู้ความจริงเกี่ยวกับซานต้าคลอสแล้วไม่ใช่หรือ
เมื่อภาพเหตุการณ์ดังกล่าวเผยแพร่ออกไป ก็มีชาวอเมริกันจำนวนมากไม่พอใจประธานาธิบดีทรัมป์ ที่ตั้งคำถามแบบนั้นเด็กๆ ในคืนคริสต์มาสอีฟ
นอกจากนี้ วันหยุดคริสต์มาสปีนี้ ทรัมป์เลือกที่จะอยู่ที่ทำเนียบขาวเพื่อเตรียมรับมือกับวิกฤตชัตดาวน์ โดยเขาโพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ของเขาทำนองสงสารตัวเอง (poor me) ว่า เขาต้องอยู่โดดเดียวที่ทำเนียบขาวเพื่อรอเดโมแครตกลับมา และต่อรองเรื่องการสร้างกำแพง ซึ่งข้อความ “สงสารตัวเอง” ของเขาดังกล่าวก็ถูกตอบโต้อย่างรุนแรงจากผู้คนทั่วไป ที่มองว่าคนที่ควรสงสารตัวเองคือเจ้าหน้าที่รัฐจำนวนกว่า 800,000 คนจากหน่วยงานที่ถูกชัตดาวน์จากการไม่ยอมลงนามในกฎหมายงบประมาณของทรัมป์ เพราะคนกลุ่มนี้ไม่ได้รับเงินค่าแรงประจำสัปดาห์สำหรับเฉลิมฉลองคริสต์มาสกับครอบครัว.