เธอต้องเริ่มต้นทำงานตั้งแต่เวลาแปดโมงเช้า โดยบ่อยครั้งที่ต้อง “รับแขก” ต่อเนื่องไปจนถึงเวลา 22.00 น. หรือจนกว่าแขกนับสิบคน ที่มาตามประกาศโฆษณา ที่นายจ้างใช้ภาพของเธอในสภาพเสื้อผ้าน้อยชิ้นบนเว็บไซต์ต่างๆ จะเสร็จสม แล้วกลับไป...
“ฉันต้องทำทุกๆ อย่างที่ผู้หญิงที่บ้านเขาไม่ทำให้ ต้องทำเหมือนกับว่าพวกเขาคือพระเจ้าของฉัน และฉันรักพวกเขาที่สุดในช่วงเวลานั้น ต้องทำให้พวกเขารู้สึกว่าเป็นคนพิเศษ”
“เอมี่” คือหนึ่งในผู้หญิงไทยหลายร้อยคน ที่ถูกหลอกลวงมาขายตัวในสหรัฐฯ ก่อนที่ขบวนการนี้จะถูกกวาดล้างไปกับปฏิบัติการ Bangkok Dark Nights ของรัฐบาลกลางร่วมกับผู้รักษากฎหมายของมินิโซน่า เมื่อปี 2016
ผลจากการทลายขบวนการค้าผู้หญิงไทยที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ดังกล่าว ทำให้มีผู้ต้องหาถูกส่งฟ้องด้วยข้อหาร้ายแรงต่างๆ ถึง 39 คน รวมถึง “ห้าคน” ที่เชื่อว่าเป็นบุคคลระดับหัวหน้า ที่การพิจารณาคดีเพิ่งจะเริ่มต้นเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ส่วนผู้ต้องหาที่เหลือ ต่างยอมรับสารภาพผิดไปตามข้อหาที่ได้รับแตกต่างกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“เอมี่” และเพื่อนร่วมชะตากรรมของเธอ ต่างถูกหลอกลวงโดยนายหน้าที่เมืองไทยว่าหากเดินทางมาทำงานร้านอาหารหรืองานในสปาในอเมริกา จะได้รับค่าตอบแทนมากมาย เมื่อหลงเชื่อ นายหน้าก็จะดำเนินการเรื่องหนังสือเดินทางและวีซ่า รวมถึงสำรองจ่ายค่าใช้จ่ายในการเดินทางทั้งหมดให้ ก่อนจะแจ้งภายหลังว่าเป็น “หนี้สิน” ที่บรรดาเหยื่อจะต้องทำงานชดใช้ มูลค่าระหว่าง 40,000-60,000 ดอลลาร์
อัยการระบุในคำฟ้องว่า กลุ่มภัยสังคมกลุ่มนี้ผูกมัดเหยื่อไว้ด้วยหนี้สิน เป็นผู้ถือเอกสารส่วนตัวของเหยื่อ รวมถึงเป็นผู้กำหนดสถานที่ให้เหยื่อทำงาน ทั้งในมินนิอาโปลิส, ชิคาโก้ และลอส แอนเจลิส โดยเหยื่อเหล่านี้จะถูกกักขังในอพาร์ทเมนท์ หรือสปา ซึ่งถูกใช้เป็นที่พักและที่ทำงานของพวกเธอไปพร้อมกัน
“ฉันทำงานในนั้น กินในนั้น และนอนในนั้น” เอมี่เล่าถึงอพาร์ทเมนท์ขนาดหนึ่งห้องนอนในย่านฟีนิกซ์ ที่ๆ เธอถูกขนานนามในโฆษณาบนเว็บไซต์ backpage.com (ที่ถูกรัฐบาลกลางปิดไปแล้ว) ว่าคือ “คิม ตุ๊กตาเอเชียนของคุณ”
เอมี่บอกกับคณะลูกขุนด้วยว่า เธอถูกบังคับให้โกหกเรื่องอายุกับลูกค้าด้วย
รายได้จากการทำงานของเอมี่และเพื่อนๆ ร่วมชะตากรรมนั้น มีเพียง 60 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ถูกนำไปลบล้างหนี้ ที่เหลือถูกจ่ายเป็นค่าแรงให้กับบรรดาหัวหน้าบ้าน หรือ house bosses ซึ่งมีหน้าที่ในการดูแลความเรียบร้อยของธุรกิจค้ากามของพวกเขาให้เป็นไปอย่างเรียบร้อย
ทั้งนี้ ผู้ต้องหาระดับหัวหัวหน้าทั้งห้าคน ที่อยู่ระหว่างพิจารณาคดีในขณะนี้ ประกอบไปด้วย
1 ไมเคิล มอร์ริส หรือ “อังเคิลบิลล์” วัย 65 ปี ชาวเมืองซีลบีช แคลิฟอร์เนีย
2 ภาวินี อันประดิษฐ์ (Pawinee Unpradit) หรือฝน วัย 46 ปี ชาวเมืองดัลลัส เท็กซัส
3 เสาวภา ถิ่นราม (Saowapha Thinram) หรือแนนซี่ หรือกุ้ง วัย 44 ปี ชาวเมืองฮัทโต้ รัฐเท็กซัส
4 ธัชรินทร์ รัตนมงคลกุล (Thoucharin Ruttanamongkongul) หรือน้อย วัย 35 ปี จากชิคาโก้ และ
5 วราลี วันเลสส (Waralee Wanless) หรือวัน วัย 39 ปีจากเมืองโคโลนี รัฐเท็กซัส
ไมเคิล มอร์ริส นั้นมีหน้าที่บริหาร “ซ่อง” หลายแห่งในแคลิฟอร์เนีย โดยทำงานแบบใกล้ชิดกับ ภาวินี อันประดิษฐ์ คนที่อัยการบอกว่าเป็นคนหลอกลวงและผูกมัดเหยื่อด้วยหนี้สิน เพื่อบังคับให้เหยื่อมาทำงานในซ่องของไมเคิล มอร์ริส ขณะที่ เสาวภา ถิ่นราม นั้น เริ่มต้นในฐานะเหยื่อที่ถูกหลอกมาขายตัวเช่นกัน แต่เมื่อปลดหนี้สินได้แล้วก็ผันตัวมาเป็นเจ้าของซ่องในออสติน เท็กซัส เสียเอง โดยในคำฟ้องบอกว่าสามีของเธอ ชื่อ เกรกอรี คิมมี่ ได้ยอมรับผิดไปฐานะผู้ช่วยของเธอไปก่อนหน้านี้แล้ว
ส่วน ธัชรินทร์ รัตนมงคลกุล นั้น แรกเริ่มเข้าร่วมกับขบวนการนี้ในฐานะเป็น โอแพร์ (au pair -ผู้ช่วยงานที่เป็นชาวต่างชาติ) ในชิคาโก้ ก่อนจะขยับขยายตัวเองมาเป็นเจ้าของซ่องในชิคาโก้ แถมยังถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้อำนวยความสะดวกให้กับขบวนการนี้ เช่นรับนัดจากลูกค้าผู้ซื้อบริหาร และโพสต์ข้อความหรือภาพโฆษณาตามเว็บไซต์ต่างๆ ด้วย
ส่วนคนสุดท้าย วราลี วันเลส นั้น อัยการระบุว่าเป็นเจ้าของซ่องอย่างน้อยสองแห่งในชิคาโก้และดัลลัส
โดยการเบิกความต่อคณะลูกขุนเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายนนั้น ทนายของ ไมเคิล มอร์ริส ได้แสดงทีท่าชัดเจนว่าจะคัดง้างข้อกล่าวหาของอัยการ โดยบอกว่าลูกความของตน ไม่ได้ใช้กำลัง บีบบังคับ หลอกลวงหรือขู่เข็ญ ให้เหยื่อต้องทำงานขายบริการ ดังที่อัยการกล่าวหา แต่เป็นการทำงานแบบเต็มใจของบรรดาผู้หญิงทั้งหลาย โดยทนายจำเลยได้เรียก ชบาไพร บุญเหลือ หนึ่งในเจ้าของซ่องในจอร์เจีย ที่ยอมรับสารภาพผิดข้อหาค้ามนุษย์ (sex trafficking) และฟอกเงินไปก่อนหน้านี้แล้ว มาเบิกความในฐานะพยานจำเลย
โดยชบาไพร บุญเหลือ บอกว่าเธอเต็มใจทำงานขายตัวเพื่อหาเงินใช้จนหมด ก่อนจะกลายเป็นเจ้าของซ่องเสียเอง โดยไม่มีใครบีบบังคับ รวมถึงตัวเธอเองก็ไม่เคยบีบบังคับใครให้ทำงานแบบนี้ด้วย
จากนั้น ทนายจำเลยก็ซักค้าน เอมี่ โดยถามว่าในปี 2015 ระหว่างทำงานอยู่ในซ่อง และยังคงเป็นหนี้สินอยู่นั้น เธอได้ “เวเคชั่น” เดินทางท่องเที่ยวกับแฟนหนุ่มหลายครั้งใช่หรือไม่ แต่คำถามนี้ถูกอัยการของรัฐบาลกลางแย้งว่า เป็นการอนุญาตให้เหยื่อออกไปเที่ยวชั่วคราวเท่านั้น ทั้งนี้เพื่อ “ผ่อนคลาย” เหยื่อที่กำลังเครียดกับการถูกกักขัง จนไม่สามารถบริการแขกของซ่องได้อย่างมีประสิทธิ์ภาพ ถือว่าเป็นการผ่อนปรนเพื่อป้องกันไม่ให้เหยื่อหลบหนีไปจากขบวนการค้ากามนี้เท่านั้น
การฟอกเงิน ก็เป็นเรื่องสำคัญของขบวนการค้ามนุษย์กลางอเมริกาคดีนี้เช่นกัน โดยอัยการระบุว่ามีการเปิดบัญชีในชื่อของเหยื่อเป็นจำนวนมาก เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความน่าสงสัย นอกจากนี้ ผู้ร่วมก่อการยังมีการลอบขนเงินสด “เป็นฟ่อน” ออกนอกประเทศ ขณะเดียวกันก็มีการโอนเงินแบบผิดกฎหมายที่เรียกว่า hawala system (การโอนเงินโดยไม่มีการเคลื่อนไหวของเงิน) ไปยังต่างประเทศด้วย โดยมีผู้ต้องหาในขบวนการนี้ถึงเก้าคน ที่ถูกตั้งข้อหาฟอกเงิน โดยทั้งหมดให้การรับสารภาพไปเรียบร้อยแล้ว
เอมี่ ให้การในช่วงสุดท้ายว่า เธอตัดสินใจเดินทางมาอเมริกา เพราะต้องการหาเงินปลดหนี้สินและดอกเบี้ยที่ทบทวีจากเงินกู้นอกระบบ ที่เธอกับแม่กู้มาเพื่อซ่อมแซมโรงเรียนเสริมสวยที่เสียหายจากเหตุการณ์นำ้ท่วมใหญ่เมื่อหลายปีก่อน เธอยิ้มระหว่างบอกกับคณะลูกขุนถึงความรู้สึกเมื่อทราบว่าวีซ่าเข้าประเทศอเมริกา ได้รับการอนุมัติ
“ฉันคิดว่าอเมริกาเป็นประเทศที่น่าอัศจรรย์” เธอบอก...
ขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังดำเนินการเพื่อสนับสนุนให้ เอมี่ ได้รับวิซ่าพิเศษ เรียกว่า T Visa สำหรับเหยื่อของการค้ามนุษย์ในการอยู่อย่างถูกต้องในสหรัฐอเมริกาต่อไป...
................
ล้อมกรอบ
ว่าด้วยคดีค้าผู้หญิงไทยที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ
สยามทาวน์ยูเอส เคยนำเสนอข่าว “ทลายแก๊งค้าผู้หญิงไทย” เป็นครั้งแรกเมื่อเดือนตุลาคม 2016 และทะยอยนำเสนอข่าวคืบหน้าต่อเนื่องเป็นระยะ โดยการรายงานข่าวครั้งล่าสุด บอกว่าอัยการของรัฐบาล ในมินิอาโปลิส ได้ทำการยื่นฟ้องผู้ต้องหารวมทั้งหมด 38 คน ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ โดยมีการจับกุมจากหลายรัฐ เช่นแคลิฟอร์เนีย, เท็กซัส, อิลลินอยส์
ข่าวบอกว่าเฉพาะในเมืองมินนีอาโปลิส ซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐมินิโซตา ขบวนการค้าผู้หญิงไทยขบวนการนี้ ได้เปิดซ่องโสเภณีถึงเจ็ดแห่ง และว่าหัวหน้าแก๊ง ซึ่งยังคงหลบหนีอยู่ในประเทศไทย เป็นคนเลือกสถานที่เหล่านี้เพื่อใช้เป็นซ่องโสเภณีด้วยตัวเอง
นอกจากนี้ อัยการยังบอกด้วยว่า จำนวนเหยื่อ ที่เป็นผู้หญิงไทยของขบวนการนี้ อาจจะมีจำนวนหลายพันคน ไม่ใช่หลักร้อยอย่างที่เคยเป็นข่าว เพราะหากพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ว่า กลุ่มคนร้ายได้ลงมือหลอกลวงผู้หญิงไทยมาขายตัวในอมริกามาตั้งแต่แต่ปี 2009 หรือแปดปีเต็มก่อนจะมีการจับกุม
ทั้งนี้ กลุ่มคนร้ายจะมองหาเหยื่อผู้หญิงไทยที่ไม่สามารถใช้ภาษาอังกฤษ หรือเข้าใจภาษาอังกฤษได้เพียงเล็กน้อย โดยเรียกเหยื่อเหล่านี้ว่า “ฟลาวเวอร์” จากนั้นก็ลงมือหลอกล่อด้วยคำสัญญาว่าพวกเธอจะมี “ชีวิตที่ดีกว่า” ในอเมริกา จากการทำงานนวด, เลี้ยงเด็ก, หรือเป็นแม่บ้าน ฯลฯ พร้อมทั้งยินดีออกเงินค่าใช้จ่ายทุกอย่างให้ล่วงหน้า ตั้งแต่การยื่นเรื่องขอเอกสารที่จำเป็น จนถึงค่าใช้จ่ายในการเดินทางและที่พักในอเมริกา ซึ่งเงินดังกล่าว จะกลายเป็น “หนี้สิน” ก้อนโต บางรายเป็นหนี้สูงถึง 60,000 ดอลลาร์ และถูกบังคับให้ทำทุกอย่างตามที่คนร้ายต้องการ รวมถึงการขายตัวด้วย
การทลายขบวนการค้าผู้หญิงไทยข้ามชาติตามปฏิบัติการที่เรียกว่า Bangkok dark nights ดังกล่าวนี้ เป็นข่าวครั้งแรกเมื่อเดือนกันยายน 2016 โดยเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางจากหลายหน่วยงาน เช่นโฮมแลนด์ ซีเคียวริตี้, ไออาร์เอส ร่วมกับหน่วยงานผู้รักษากฎหมายทั้งระดับรัฐ และระดับท้องถิ่น บุกจับกุมผู้ต้องสัยพร้อมกันหลายจุด หลายเมือง ทั้งในมินนีอาโปลิส และชิคาโก้ ถือเป็นการปฏิบัติการครั้งแรกที่มีเป้าหมายการจับกุมแบบ “ยกแก๊ง” (entire sex trafficking organization) โดยการจับกุมเกิดขึ้นหลังจากมีการสอบสวนและติดตามพฤติกรรมของผู้ต้องสงสัยมาเกือบสองปี รวมถึงการส่งเจ้าหน้าที่ของรัฐมินิโซต้า เดินทางไปติดต่อขอความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องในประเทศไทยด้วย
ในเอกสารคำฟ้องนั้น อัยการเรียกบรรดาเหยื่อที่เกือบทั้งหมดเป็นผู้หญิงไทยเหล่านี้ว่า “ทาสยุคใหม่” เพราะถูกกักขังไม่ต่างจากทาสในยุคโบราณ ในอพาร์ทเมนท์ โรงแรม หรือสปา ถูกบังคับให้ทำงานขายบริการเพื่อชดใช้หนี้สิน บางรายถูกบังคับให้เสริมหน้าอก เพื่อให้ตรงกับความต้องการของ “ตลาด” โดยค่าใช้จ่ายในการทำศัลยกรรมจะทบกับหนี้สินที่อยู่มีเดิม บางคนถูกส่งตัวให้กับแขกที่ชอบความรุนแรง abusive sex buyers) โดยไม่มีทางปฏิเสธ และอาจถูกบังคับให้ขายตัวมากถึงวันละสิบครั้ง หรือมากกว่า
คำฟ้องบอกด้วยว่า บริการผิดกฎหมายของ “ทาสยุคใหม่” จากเมืองไทยเหล่านี้ถูกโฆษณาผ่านเว็บไซต์ต่างๆ รวมถึง backpage.com และ eros.com
ข่าวบอกว่า การฟอกเงินของขบวนการนี้ ถือเป็นเรื่องยากที่จะตรวจพบ เพราะผู้ต้องหาส่วนใหญ่ไม่เคยมีประวัติ และรับค่าใช้บริการเป็นเงินสดเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีมาตรการอื่นๆ อีกหลายอย่าง เช่นเปิดบัญชีแบบที่เรียกว่า funnel account ในนามของเหยื่อหลายๆ บัญชี การลอบขนเงินสดออกนอกประเทศทีละมากๆ โอนเงินกลับประเทศไทย ทั้งที่ผ่านระบบธนาคาร และการโอนเงินนอกระบบ แบบที่เรียกว่า hawala-based system” หรือการโอนเงินโดยไม่มีการเคลื่อนไหวของเงินจริงๆ ซึ่งภายใต้วิธีการต่างๆ เหล่านี้ อัยการเชื่อว่าขบวนการค้าหญิงไทยขบวนการนี้ สามารถเคลื่อนย้ายเงินมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ออกนอกประเทศในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
โดยผู้ต้องหาซึ่งถือว่าเป็น “หัวหน้า” หรือ “บอส” ของขบวนการค้าผู้หญิงไทยขบวนการนี้ เป็นผู้หญิงไทยชื่อ สุมาลี อินทร์ทอง (Sumalee Intrathong) หรือจอย วัย 55 ปี โดยผู้ต้องหารายนี้ได้ถูกทางการเบลเยี่ยมจับกุมได้ที่เมืองลีแอช ประเทศเบลเยี่ยม ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2016 จากข้อหาแบบเดียวกัน (ไม่เกี่ยวข้องกับคดีในอเมริกา) ซึ่งข่าวบอกว่าอัยการกำลังทำเรื่องขอตัวมาดำเนินคดีในมินิโซต้าด้วย.