หลายประเทศอนุญาตให้ “กัญชา” เป็นพืชที่ปลูกได้ถูกกฎหมาย ขณะที่ สหรัฐอเมริกา มี 18 รัฐที่อนุญาตให้ปลูกกัญชาได้อย่างถูกกฎหมาย พร้อมทั้งเปิดเผยผลการวิจัยและนำมาสกัดทำยารักษาโรค นอกจากนี้ยังแตกไลน์ธุรกิจเกี่ยวกับกัญชามากมายเป็นล่ำเป็นสัน
ช่วงวันที่ 14-16 พฤศจิกายน 2561 ผู้คนที่สนใจผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับกัญชาจากทั่วโลก มุ่งหน้าไปนครลาสเวกัส เพื่อเข้าชมงานธุรกิจกัญชาและแสดงผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับกัญชา ในชื่อ งาน “เอ็มเจบีซ คอน” (MjbizCon) ปี 2018 ที่คอนเวนชัน เซ็นเตอร์ นครลาสเวกัส
การจัดงาน 8 ครั้งที่ผ่านมาจัดเป็นงานเล็กๆ แต่ปีนี้รัฐเนวาดาและรัฐอื่นๆ ออกกฎหมายให้ปลูกกัญชาได้อย่างถูกกฎหมาย จึงทำให้มียาและผลิตภัณฑ์จากกัญชาออกมาจำนวนมาก บริษัทต่างๆจองบูธนำผลิตภัณฑ์มาโชว์กว่า 1,000 บริษัท กลายเป็นงานโชว์ผลิตภัณฑ์กัญชาจัดใหญ่ที่สุดในโลก
งานนี้หากลงทะเบียนขอเข้าร่วมงานล่วงหน้าก่อนถึงวันงานหนึ่งเดือน ก็ไม่ต้องเสียค่าผ่านประตู แต่หากลงทะเบียนล่าช้ากว่านั้นก็ต้องจ่ายเงิน 400 ดอลลาร์
ตัวเลขผู้เข้าร่วมงานวันแรก สูงกว่า 200,000 คน มีทั้งชาวอเมริกัน แคนาดา และประเทศที่อนุญาตให้นำกัญชามาสกัดทำยารักษาโรคได้แล้วอีกหลายประเทศ รวมผู้เข้าชมงานทั้ง 3 วัน ตกประมาณ 600,000 คน
ภายในงานมีการตกแต่งคูหาอย่างสวยงามไม่แพ้สินค้าแบรนด์เนมทั้งหลาย โดยจัดแบ่งออกเป็น 4 โซนด้วยกัน
โซนที่ 1 เกี่ยวกับการปลูกกัญชาในลักษณะต่างๆ เช่น กรีนเฮาส์, อินดอร์ รวมทั้งโชว์อุปกรณ์ในการปลูก อาทิ ระบบแสง การควบคุมปุ๋ย สปริงเกอร์ ท่อส่งน้ำและอุปกรณ์สกัดสารจากกัญชา
โซนที่ 2 กลุ่มซื้อขาย บริษัทผลิตและจัดจำหน่าย ออกบูธเจรจาการซื้อขาย การลงทุนและหาตัวแทนจำหน่าย
โซนที่ 3 กลุ่มงานวิจัยและผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น ยาผ่อนคลายความเครียด ครีมนวดแก้ปวดเมื่อย ครีมนวดหน้า กาแฟ น้ำดื่มผสมกัญชา หมากฝรั่งเยลลี่ ขนมคุกกี้ ไวน์ เบียร์ กัญชาผสมสมุนไพรรักษาโรค แม้กระทั่งอาหารสุนัขผสมกัญชาที่ทำให้เคลิบเคลิ้มผ่อนคลายไม่ดุร้าย โซนนี้ได้รับความสนใจจากผู้เข้าชมแน่นขนัด
โซนที่ 4 เกี่ยวกับการอนุญาตให้ปลูกกัญชา และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมกัญชา ให้ข้อมูลขั้นตอนเกี่ยวกับการขอใบอนุญาตปลูกและผลิตยา หรือผลิตภัณฑ์ต่างๆ
อย่างที่บอกไปแล้วว่า งานนี้มีนักธุรกิจจากทั่วโลกให้ความสนใจเข้าร่วมเพื่อติดต่อซื้อขายยาและผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับกัญชา อันเป็นธุรกิจที่เชื่อกันว่าจะทำเงินมหาศาลในอนาคต
แน่นอนว่ากลุ่มนักธุรกิจไทยย่อมไม่ตกขบวนในเรื่องนี้...
นักวิชาการด้านสมุนไพรไทย เช่น นายแก่นฟ้า แสงเมือง เจ้าของสถานบำบัดสุขภาพแก่นฟ้า อ.สมุย จ.สุราษฎร์ธานี ได้รับการชักชวนจากลูกศิษย์ให้ไปบุกเบิกธุรกิจเกี่ยวกับกัญชาที่สหรัฐฯ จึงได้ติดต่อ นายทอม เครือโสภณ นักธุรกิจไทย ชวนเพื่อนนักธุรกิจในสหรัฐฯ อาทิ นายนภดล วงศ์ชัยวัฒน์ และ นายเจฟ ชู โดยกลุ่มนักธุรกิจไทยกลุ่มนี้ ร่วมทุนกันมูลค่าประมาณ 180 ล้านบาท
เริ่มจากเซ็นสัญญากับ บริษัทไอโซดิอัล ผู้ผลิตยารักษามะเร็ง อัลไซเมอร์ พาร์กินสัน และโรคอื่นๆ โดยจะมีส่วนผสมของสมุนไพรไทยกับสารสกัดจากกัญชา รวมทั้งการปลูกกัญชา และเซ็นสัญญากับ บริษัทคัลติเวท ที่ได้ใบอนุญาตจำหน่ายยาและผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมสารสกัดจากกัญชาหลายร้านในสหรัฐฯ เป็นตัวแทนจำหน่ายด้วย
จากนั้นเซ็นสัญญากับ บริษัทกรีน เทเรปีติกส์ ซึ่งเป็นสถาบันมาตรฐาน 1 ใน 3 แห่งในรัฐเนวาดา เพื่อใช้สถานที่ในการปลูกและวิจัย รวมทั้งสกัดตัวยาและผลิตภัณฑ์ต่างๆ
นายแก่นฟ้า แสงเมือง เปิดเผยว่า ตนกับลูกศิษย์ได้วิจัยกัญชามานานแล้ว โดยลูกศิษย์นำกัญชาไปวิจัยนอกประเทศรวมทั้งที่สหรัฐฯ และนำมาผสมกับสมุนไพรไทย ใช้สารสกัดจากกัญชาเพียง 5 เปอร์เซ็นต์ ผสมกับสมุนไพรไทย ทดลองรักษาคนป่วยที่เป็นมะเร็งได้ผลตอบรับดี
“คนป่วยทั้งในไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย จีนและสหรัฐฯ ใช้ได้ผลมาแล้ว เมื่อทางสหรัฐฯมีการออกกฎหมายให้ปลูกกัญชาถูกกฎหมาย ลูกศิษย์จึงได้แนะนำมาลงทุนผลิตยาในสหรัฐฯ ผมจึงเชิญชวนนักธุรกิจไทยเข้ามาร่วมลงทุนกับบริษัทในสหรัฐฯ มีโรงงานทำได้ทันทีไม่ต้องเสียเวลาลงทุนทำใหม่และช่วยให้ผู้ป่วยเข้าถึงยาที่สามารถรักษาได้มากขึ้น” นายแก่นฟ้า กล่าว
สำหรับการสกัดเอาสารจากกัญชามาใช้ทำยาและผลิตภัณฑ์ต่างๆนั้น นายแก่นฟ้า เปิดเผยว่า สกัดเอาสาร CBD หรือ แคนนาบินอย (Cannabinol) เป็นสารส่วนที่ดี มีสรรพคุณทำให้จิตใจสงบ มีสติ คลายวิตก ช่วยให้หลับสบาย ลดอาการปวด รวมทั้งการรักษาโรค และแยก สกัดแยกเอาสาร THC เทคทร่าไฮโดรแคนนาบินอย (Tetra Hydro Cannabinol) ออกเพราะมีฤทธิ์ในทางไม่ดีทำให้ครองสติไม่อยู่
ส่วน นายทอม เครือโสภณ กล่าวว่าในอนาคตหากประเทศไทยมีการออกกฎหมาย ที่เปิดช่องให้กับคนไทยในการปลูกและสกัดทำยา รวมทั้งส่งออกได้ กลุ่มเราที่มานำร่องก่อนจะได้ช่วยให้ความรู้และมีสถานที่รองรับแก่คนไทย เพราะธุรกิจนี้มีอนาคตและมูลค่ามหาศาล
“กัญชาไทยเป็นที่รู้จักและเป็นที่นิยมในสหรัฐฯ มานานแล้ว เพราะมีการนำเข้าสหรัฐฯ และปลูกกัน ตั้งแต่สมัยสงครามเวียดนาม คนชื่นชอบเพราะมีกลิ่นหอมกว่าของที่อื่น มีกลิ่นเหมือนสกั้งค์ และปัจจุบันการปลูกกัญชาขายมีรายได้สูงมาก” นายทอม กล่าว
นอกจากนี้ คณะนักธุรกิจไทยยังได้เดินทางไปชมสถานที่ปลูกกัญชาของ บริษัทกรีน เทเรปีติกส์ ที่เมืองอมาร์โกซา รัฐเนวาดา ซึ่งมีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดด้วย
โดยเจ้าหน้าที่ของบริษัทกรีน เทเรปิติกส์ อธิบายว่า การปลูกกัญชาในสหรัฐฯ ตามกฎหมายที่อนุญาต แบ่งออกเป็น 3 เกรด ได้แก่
1.อินดอร์ เมดิคัล ปลูกเพื่อใช้ทำยารักษาโรค โดยต้นกัญชา 1 ต้น จะออกช่อดอก (Cola) เฉลี่ย 1-3 ปอนด์ จำหน่ายหน้าโรงงานในราคาปอนด์ละ 3,000 ดอลลาร์ นั่นหมายถึงว่ากัญหาหนึ่งต้น หากให้ผลผลิตเต็มที่ก็สามารถทำเงินได้สูงถึง 9,000 ดอลลาร์ โดยใช้ระยะเวลาการปลูกจนถึงเก็บเกี่ยวเพียง 4 เดือนเท่านั้น
2.กรีนเฮาส์ เมดิคัล เป็นการปลูกในกรีนเฮาส์ เพื่อนำมาสกัดทำยารักษาโรค ให้ช่อดอกเฉลี่ย 1-3 ปอนด์ต่อต้นเช่นกัน แต่ราคาจำหน่ายหน้าโรงงานจะต่ำกว่า คือเฉลี่ยราคาปอนด์ละ 1,800 ดอลลาร์ หรือประมาณ 5,400 ดอลลาร์ต่อต้น)
3.ปลูกด้านนอกแบบทั่วไป ราคาช่อดอกเฉลี่ยปอนด์ละ 900 ดอลลาร์... เฉลี่ย 1 ต้น มีมูลค่า 2,700 ดอลลาร์
โดยในอดีตนั้น รัฐบาลเคยอนุญาตให้คนป่วยปลูกกัญชาไว้หลังบ้าน บ้านละ 10 ต้น แต่ห้ามจำหน่ายจ่ายแจกออกไป และเมื่อมีกฎหมายออกมาถูกต้อง จึงอนุญาตให้ปลูกได้บ้านละไม่เกิน 99 ต้น เพื่อใช้สำหรับเป็นยารักษาโรค แต่บริเวณที่ปลูกต้องไม่อยู่ใกล้โรงเรียน และโบสถ์ รวมทั้งห้ามจำหน่ายต่อ
ในต่างประเทศเขาก้าวไกลเรื่องการนำกัญชามาใช้ประโยชน์ คงต้องติดตามดูว่า หน่วยงานต่างๆ ของประเทศไทยจะตื่นตัวและก้าวตามทันนวัตกรรมใหม่เกี่ยวกับกัญชาได้แค่ไหน.