ดูโลก ดูธรรม และดูใจ
โดย ดร.พระมหาจรรยา สุทธิญาโณ เจ้าอาวาสวัดพุทธปัญญา
มิตรภาพอันสวยงามและยั่งยืน








เรื่องที่จะเล่านี้ มาจากชื่อเรื่องต้นฉบับภาษาอังกฤษว่า The giving Tree เป็นเรื่องมิตรภาพอันสวยงามไร้พรมแดนระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ


ในป่าใหญ่ชานเมืองแห่งหนึ่ง บนเนินเตี้ยๆ มีต้นแอปเปิ้ลต้นหนึ่ง ลำต้นสูงใหญ่ แผ่กิ่งก้านสาขาออกไปรอบทิศ  ปกคลุมด้วยใบดกเขียวชอุ่มรวมกันเป็นพุ่มหนา ผลิดอกออกผลตามฤดูกาลที่ผ่านมาและผ่านไปแต่ละปี  นกน้อยใหญ่บินมาจากใกล้ไกลเกาะตามกิ่งไม้ส่งเสียงสดใสเริงร่า เป็นต้นไม้ใหญ่ที่สวยสดงดงามให้ความร่มรื่นแก่มนุษย์และสัตว์น้อยใหญ่ที่ผ่านมาพึ่งพาอาศัย

เด็กน้อยคนหนึ่งอาศัยอยู่ในบ้านหลังน้อย ตั้งอยู่ชานเมืองใกล้ๆชายป่าแห่งนั้น ทุกๆ วันหลังจากเด็กน้อยเลิกเรียนแล้ว เขาจะวิ่งจากบ้านมาเล่นอยู่กับต้นแอปเปิ้ลนี้ เด็กน้อยจะปีนขึ้นบนลำต้นไม้ แล้วไต่ไปตามกิ่งไม้ ห้อยโหนโจนทยานไปตามกิ่งไม้ต่างๆอย่างสนุกสนาน หิวขึ้นมาก็เก็บแอปเปิ้ลสดๆรับประทานอย่างเอร็ดอร่อยรับประทานแล้วลงมานั่งที่โคนต้นไม้ เล่าเรื่องราวต่างๆที่ได้เรียนรู้มาจากโรงเรียนและเหตุการณ์ต่างๆที่ได้พบเห็นในแต่ละวันที่ผ่านมา บางวันเด็กน้อยก็เล่าถึงความฝันในอนาคตของเขา เล่าถึงความคิดต่างๆให้ต้นไม้ฟังด้วยเสียงสดใสมีความสุข

ต้นไม้ฟังเรื่องเล่าของเด็กน้อยอย่างสนุกสนาน ต้นไม้มีความสุขที่เห็นเด็กน้อยมาปืนต้นไม้ ห้อยโหนโจนทะยานไปตามกิ่งอย่างสนุกสนาน บางวันเด็กน้อยขึ้นไปนั่งบนคาคบไม้ นำใบไม้มาผูกติดกันเป็นมงกุฏแล้วสมมติตัวเองว่า เป็นพระราชาครองอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ จินตนาการของเด็กน้อยล่องลอยไกลออกไปอย่างไม่มีขีดจำกัด

เด็กน้อยนั่งลงคุยกับต้นไม้ว่า “ท่านต้นไม้ น้ำในคลองสะอาดใสเป็นประกายระยิบระยับดุจสีเงินยวง”

ต้นไม้เห็นคล้อยตามเด็กน้อยตอบว่า “ใช่เลย เด็กน้อย”

เด็กน้อยกล่าวต่อไปว่า “ท่านต้นไม้ ท่านโชคดีมากนะ ได้อยู่ใกล้ๆน้ำสะอาดใสระยิบระยับดั่งสีเงินยวง  เห็นวิวทิวทัศน์ที่แสนสวยงามรอบๆทุกด้าน เห็นดวงอาทิตย์ตกยามเย็น อากาศสดชื่น หายใจสะดวก มิน่าเล่า ท่านจึงมีความสุขนัก”

เด็กน้อยแสดงความหวังว่า “ฉันอยากจะอยู่ที่นี่ตลอดไป”

ต้นไม้ยอมรับกับเด็กน้อยว่า “ใช่ น้ำในแม่น้ำสะอาดใส ระยิบระยับดุจสีเงินยวง วิวสวย อากาศดี อาทิตย์อัสดงก็สวย แต่ฉันมีความสุขเมื่อได้ชื่นชมสิ่งเหล่านี้พร้อมกับเธอนะ”
เด็กน้อยบอกความในใจว่า “ท่านคือ ต้นไม้ที่ดีที่สุด ฉันรักท่านมากนะ”
ต้นไม้ตอบว่า “ฉันก็รักเธอนะเด็กน้อย”

เด็กน้อยคุยกับต้นไม้วันแล้ววันเล่า ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่าไม่รู้เบื่อ บางวันเด็กน้อยปืนขึ้นต้นไม้ แล้วไต่ไปตามกิ่งไม้ ห้อยโหนโจนทะยานตามกิ่งไม้อย่างคล่องแคล่วประดุจลิงน้อย อย่างเบิกบานสำราญใจจนรู้สึกเหนื่อยก็นอนซบหลับอยู่บนคาคบไม้อย่างมีความสุข

----------------------------------------------------------

กาลเวลาผ่านไป เด็กน้อยโตขึ้น มีเพื่อนใหม่ๆมากขึ้น มีเรื่องจะต้องทำมากขึ้น มีเวลาให้ต้นไม้น้อยลงตามลำดับแต่ยังคงไปมาหาสู่กัน เมื่อมีเวลาว่าง วันหนึ่งเด็กน้อยถามต้นไม้ว่า “รู้สึกโกรธไหม เวลาพระอาทิตย์ตกหรือเวลาใบไม้ร่วงไปในฤดูหนาว”

ต้นไม้ตอบว่า “ฉันรู้สึกเศร้านะซิ แต่ฉันรู้ว่า ดวงอาทิตย์ตกยามเย็น แต่จะกลับขึ้นมาส่องแสงอีกในตอนเช้า  และใบไม้ที่ร่วงไปก็จะกลับมาใหม่ในฤดูใบไม้ผลิ ฉันเคยรอดวงอาทิตย์ขึ้นและรอใบไม้ผลิจนได้พบกันเสมอ”

เด็กน้อยกล่าวว่า “ท่านกล่าวถูกต้องแล้วนะ ท่านต้นไม้  แต่ดวงอาทิตย์ตกก็สวยนะ ท่านเป็นต้นไม้ที่โชคดีที่สุด  ได้ชมทิวทัศน์ที่แสนมหัศจรรย์ทุกวัน  ฉันจะอยู่ที่นี่ตลอดไปเลยละ”

ต้นไม้บอกเด็กน้อยว่า “ฉันยังไม่รู้เลยว่า อนาคตจะเป็นเช่นไร แต่ฉันรู้เพียงว่าดวงอาทิตย์จะอยู่ที่นี้ตลอดไป  ฉันมีความสุขมากที่ได้อยู่กับเธอ เธอจะอยู่ที่นี่ตลอดไปก็ได้นะ ฉันรู้ว่าเธอชอบธรรมชาติอันสวยงามและสดชื่นที่นี่”

เด็กน้อยกล่าวถึงความฝันของตนว่า “มันไม่ง่ายอย่างที่ท่านบอกหรอกนะ ท่านไม่มีอะไรต้องรับผิดชอบเลยนี่ แต่ฉันต้องทำงาน ต้องมีตำแหน่งหน้าที่ ต้องสร้างอนาคต และต้องการความสุข”

ต้นไม้ถามถึงความรู้สึกว่า “เดี๋ยวนี้เธอมีความสุขไหม”

เด็กน้อยตอบว่า “เดี๋ยวนี้ฉันมีความสุขดีแต่ฉันต้องการความสุขมากกว่านี้”

จากวันนั้นเป็นต้นมาเด็กน้อยค่อยๆห่างเหินจากการมาวิ่งเล่นบริเวณต้นไม้ไปนาน ต้นไม้ถูกทอดทิ้งให้อยู่อย่างโดดเดี่ยว แต่ละวันที่ผ่านไปต้นไม้ตั้งตารอเด็กน้อยจะกลับมาเยือน

----------------------------------------------------------

และแล้ววันหนึ่ง เด็กน้อย ซึ่งตอนนี้โตเป็นวัยรุ่นแล้ว กลับมาที่ต้นไม้อีกครั้งหนึ่ง ต้นไม้ดีใจมากที่ได้เห็นคนที่ตนรอคอยกลับมาเยือน ต้นไม้ดีใจจนหัวใจแทบจะโบยบินไปหาเด็กน้อย เมื่อมองไปยังเด็กน้อยที่ค่อยๆก้าวย่างเข้ามาใกล้ๆ เมื่อเด็กเดินตรงมายังต้นไม้ ต้นไม้จึงทักทายเด็กน้อยว่า “เข้ามาใกล้ๆซิเด็กน้อย มาปืนขึ้นต้นของฉัน จับกิ่งไม้มั่นๆ ห้อยโหนโจนทะยานและไต่ไปตามกิ่งของฉันและกินผลแอปเปิ้ลของฉันให้มีความสุขเถิด”

เด็กน้อยกล่าวปฏิเสธคำแนะนำของต้นไม้อย่างสุภาพว่า “ฉันโตเกินกว่าที่จะปืนป่ายต้นไม้และห้อยโหนโจนทะยานไปตามกิ่งไม้ได้อีกแล้ว”

ต้นไม้ให้ทางเลือกว่า “ถ้าอย่างนั้นก็จงดูดวงอาทิตย์ตกยามเย็นเถอะ เธอชอบดูมิใช่หรือ”

เด็กน้อยปฏิเสธข้อเสนอของต้นไม้ว่า “ตอนนี้ฉันยุ่งมาก ฉันจะต้องไปซื้อของต่างๆ ฉันต้องการเห็นโลกกว้าง”

ต้นไม้ถามว่า “เธอเป็นอะไรไปหรือเปล่า ดูท่าทางเศร้า ไม่ร่าเริงเหมือนก่อนเลย”

เด็กน้อยตอบว่า “ท่านต้นไม้ ฉันต้องการเงิน ชีวิตของคนที่อยู่ในโลก ต้องมีเงินถึงจะมีความสุข”

ต้นไม้ไม่อยากจะเห็นเด็กน้อยโศกเศร้า จึงแนะนำเด็กน้อยว่า “เก็บแอปเปิ้ลจากต้นของฉันไปขายในตลาดซิ  แล้วเธอจะได้เงินไม่น้อยเลยนะ ฉันเสียใจด้วยนะ ฉันไม่มีเงินให้เธอหรอก ฉันมีแต่ใบกับผลแอปเปิ้ลแค่นั้นแหละ”

เด็กน้อยถามต้นไม้ด้วยความฉงนว่า “จริงหรือ ท่านต้นไม้ ฉันจะทำได้หรือ”

ต้นไม้ย้ำเพื่อความมั่นใจว่า “ถ้าการนำแอปเปิ้ลไปขายทำให้เธอได้รับความสุข เธอก็ควรทำ”

เด็กน้อยรีบตอบรับว่า “ขอบคุณครับท่านต้นไม้ ท่านยังคงเป็นต้นไม้ที่สุดยอดเสมอ”

เด็กน้อยรีบปีนต้นแอปเปิ้ลเลือกเก็บแอปเปิ้ลผลงามแล้วนำไปขายในตลาด

ต้นไม้รู้สึกมีความสุขที่ได้ทำอะไรบางอย่างให้สหายน้อยที่เขารักมีความสุขบ้าง ต้นไม้มองเด็กน้อยเดินจากไปจนลับสายตา

ตั้งแต่วันนั้นเด็กน้อยก็หายไปจากต้นไม้นานมาก ปล่อยให้ต้นไม้อยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายคอยการกลับมาของเด็กน้อยวันแล้ววันเล่า

--------------------------------------------------------------

หลายปีผ่านไป นกทั้งหลายผ่านมาเกาะตามกิ่งส่งเสียงร้องอย่างเริงร่าแล้วก็จากไป ต้นไม้ยังคงรอและรอ บัดนี้ต้นไม้สูงใหญ่ กิ่งแผ่กว้างเป็นพุ่มเขียวขจีมากกว่าวันวานที่ผ่านมา เป็นร่มเงาที่ยิ่งใหญ่เป็นที่อาศัยของนกและสัตว์หลากหลายที่ผ่านไปมา แม้กาลเวลาผ่านไปเท่าไรแต่ต้นไม้ยังรอคอยการกลับมาของเด็กน้อยเสมอ

วันหนึ่งเด็กน้อย บัดนี้กลายเป็นหนุ่มใหญ่ แต่ยังคงเป็นเด็กน้อยในสายตาของต้นไม้อยู่เสมอ ได้กลับมาเยือนต้นไม้อีกครั้งหนึ่ง ต้นไม้โอนเอนต้นไปมาต้อนรับเด็กน้อยด้วยความดีใจที่เห็นเด็กน้อยกลับมาเยือน  จึงตะโกนเรียกด้วยความดีใจว่า “มาๆๆ มาเร็วๆ เข้ามาๆๆเด็กน้อย ปืนต้นฉัน ห้อยโหนโจนทะยานบนกิ่งของฉันเป็นสุขสนุกแบบสุดๆไปเลย”

เด็กน้อยบัดนี้เป็นหนุ่มใหญ่ บอกต้นไม้ว่า “ฉันไม่มีเวลาปีนต้นไม้แล้วละ ฉันยุ่งมากจริงๆ ตอนนี้ฉันแต่งงานแล้วนะฉันมีภรรยา มีลูกแล้ว”

ต้นไม้พูดด้วยความดีใจด้วยว่า “เธอโตขึ้นแล้วจริงๆนะนี่ แต่..ทำไมเธอดูท่าทางไม่มีความสุขเอาเสียเลยนะ การมีงานทำ การมีครอบครัว  คือ สิ่งที่เธอต้องการมิใช่หรือ”

เด็กน้อยบอกต้นไม้ว่า “ฉันยังกังวลใจอยู่ตลอดเวลาที่ไม่สามารถสร้างบ้านที่มั่นคงให้ลูกและภรรยาอยู่ได้อย่างอบอุ่นและปลอดภัย ฉันอยากสร้างบ้านสักหลัง”

ต้นไม้ฟังเพื่อนรักระบายความในใจเช่นนั้นพลอยรู้สึกเครียดไปด้วย จึงบอกเด็กน้อยว่า “ฉันไม่มีบ้านให้เธอหรอกนะ ป่าคือบ้านของฉัน แต่ว่า ฉันมีกิ่งอยู่หลายกิ่ง เธอจงตัดกิ่งของฉันไปสร้างบ้านเถิด แล้วเธอจะมีบ้านที่มั่นคงปลอดภัยที่ทุกคนอยู่กันอย่างมีความสุข”

“ขอบคุณมาก ท่านต้นไม้” เด็กน้อยเปลี่ยนความรู้สึกจากความเศร้าเป็นดีใจ

เด็กน้อยปีนขึ้นต้นไม้ นำเลื่อยขึ้นไปตัดกิ่งก้านลงมาจนเพียงพอต่อการสร้างบ้านอันอบอุ่นและปลอดภัยสำหรับภรรยาและลูกของเขา เมื่อตัดกิ่งพอแก่ความต้องการจึงลากไม้นั้นกลับไปสร้างบ้าน

ต้นไม้มองเด็กน้อยสหายรักซึ่งบัดนี้เป็นพ่อบ้านผู้มีความรับผิดชอบ ลากกิ่งไม้ของตนไปสร้างบ้านให้ลูกและภรรยาได้อยู่ ก็ให้รู้สึกยินดีปรีดายิ่งนักที่ทำให้เด็กน้อยที่ตนรักมีความสุข
--------------------------------------------------------------

นับแต่นั้นมาเด็กน้อย ที่กลายเป็นหัวหน้าครอบครัวหายไปนาน หลายปีผ่านไป ไม่เคยกลับมาเยี่ยมต้นไม้อีกเลย ต้นไม้รอคอยเด็กน้อยด้วยความคิดถึง แม้จะมีนกต่างๆบินผ่านมาเกาะตามต้นพอคลายเหงาบ้าง แต่มาเพียงชั่วคราวก็บินจากไปเพราะต้นไม้ไม่มีลูก ไม่มีใบ ไม่มีกิ่งพอที่จะให้นกเกาะกระโดดโลดเต้นร้องเพลงอย่างมีความสุขได้เหมือนแต่ก่อน เพราะมีเพียงต้นไม้โด่เด่ที่ไร้กิ่งใบเหมือนตายยืนต้น ต้นไม้รู้สึกวังเวงว้าเหว่คิดถึงแต่เด็กน้อยว่าวันหนึ่งเขาจะกลับมาเยือน

บัดนี้เมืองเปลี่ยนแปลงไปมาก ต้นไม้และป่าจำนวนมากถูกโค่นลงเพื่อสร้างบ้านแปลงเมือง ที่ดินที่เตียนโล่งถูกขยายออกไป เมืองขยายตัวออกไป ถนนหนทางสัญจรไปมาสะดวกขึ้น ต้นไม้ถูกโค่นลงไปทำบ้านเรือนต้นแล้วต้นเล่า ป่าบางแห่งหายไปทั้งป่ากลับกลายเป็นป่าคอนกรีตแทน ที่อยู่อาศัยเปลี่ยนเป็นตึกรามบ้านช่องมากกว่ากระท่อมน้อยในอดีต ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

ต้นไม้รู้สึกว้าเหว่จับใจเมื่อทุกสิ่งเปลี่ยนไปแต่สิ่งที่ยังไม่เปลี่ยนคือ ต้นไม้ยังคงรอเด็กน้อยมาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จนกระทั่งวันหนึ่ง ต้นไม้เห็นเด็กน้อย ซึ่งบัดนี้อยู่ในวัยกลางคนแก่ตัวลงไปมาก เดินเข้ามานั่งใต้ต้นไม้ แล้วร้องไห้ออกมาอย่างขมขื่น ต้นไม้รู้สึกเหมือนว่าหัวใจจะสลายไปด้วย เมื่อเห็นเด็กน้อยที่รักของตนร้องไห้ออกมาด้วยความคับแค้นใจยิ่งนัก  วันนี้ต้นไม้ไม่มีกิ่งไว้ให้เด็กห้อยโหนโจนทะยานอีกแล้ว ไม่มีผลแอปเปิ้ลให้ทานได้อีก  มีเพียงลำต้นที่ไร้กิ่งแต่ยังให้ชายหนุ่มได้นั่งพิงได้

เมื่อชายหนุ่มร้องไห้ไปได้สักครู่ต้นไม้จึงถามว่า “มานั่งร้องไห้ด้วยเรื่องอะไรหรือ ทำไมเศร้าโศกเสียใจนักเล่า”

เด็กน้อยจึงบอกต้นไม้ว่า “ภรรยาฉันจากไปแล้ว ลูกๆก็ไม่สนใจฉัน ฉันไม่อยากจะอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีใครรักและสนใจฉันอีก ฉันอยากจะไปให้ไกลแสนไกลจากที่นี่ ไม่อยากจะอยู่ที่นี่อีกแล้ว”

ต้นไม้จึงบอกเด็กน้อยว่า “เธอตามล่าหาความสุขไม่เคยหยุดพักเลย เมื่อใดที่เธอหยุดแสวงหา ความสุขมันจะมาหาเองแหละ”

เด็กน้อยเถียงต้นไม้ว่า “ไม่มีความสุขใดๆเหลืออยู่ที่นี่อีกแล้ว หากฉันมีเพียงเรือลำเดียว ล่องไปในน้ำที่ใสเป็นสีเงินยวง ดูดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงกระทบน้ำระยิบระยับ ค่ำลงก็นอนในเรือ”

ต้นไม้สอดขึ้นมาว่า “แล้วจะมีความสุขหรือ”

เด็กน้อยตอบว่า “ใช่แล้วฉันจะมีความสุขสงบ”

ต้นไม้จึงบอกว่า “เธอตัดต้นไม้ทำเรือซิแล้วเธอก็จะได้ไปจากที่นี่ ไปสู่สถานที่ที่เธอคิดว่าให้ความสุขเธอได้”

เด็กน้อยถามว่า “จริงหรือ แล้วเขาเริ่มตัดต้นไม้ทำเรือด้วยความรู้สึกเป็นสุขผ่อนคลายยิ่งนัก ต้นไม้มองดูชายหนุ่มตัดต้นไม้ไปทำเรือด้วยความสุข”

 เมื่อชายหนุ่มทำเรือเสร็จแล้ว ก็ออกเดินทางแสวงหาความสงบสุขตามที่ตนเองเชื่อว่า ความสงบสุขจะรออยู่ข้างหน้า ณ ปลายฟ้าโน้น เขาแล่นเรืออยู่ในน้ำใสกระทบกับแสงแห่งอาทิตย์ระยิบระยับดั่งสีเงินยวง  ค่ำลงก็เอนกายลงในเรือมองดูดาวที่พราวพร่างเต็มฟ้า

เด็กน้อยซึ่งบัดนี้เลยวัยกลางคนจากไปอย่างไม่มีวี่แววว่าจะกลับมา ต้นไม้ไม่มีความสุขเลย เหมือนเรื่องดวงอาทิตย์ตกที่ครั้งหนึ่งเคยคุยกันว่า เมื่อดวงอาทิตย์ตกแล้ววันรุ่งขึ้นก็จะกลับมา สิ่งที่ต้นไม้ทำได้คือ ตั้งตารอคอย ต้นไม้ที่เคยสูงใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมด้วยใบเขียวขจี บัดนี้เหลือเพียงตอติดดินอยู่ที่ริมเนินเตี้ยๆ หนึ่งปีผ่านไปต้นไม้รู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดายมากขึ้น มองวิวทิวทัศน์อะไรไม่ได้ไกลเหมือนวันก่อนๆเพราะเป็นเพียงตอไม้สั้นๆ ต้นไม้คิดถึงวันเก่าๆ คิดถึงนกที่เคยมากระโดดโลดเต้น คิดถึงเด็กน้อยที่เคยมาห้อยโหนโจนทะยาน บัดนี้มีเพียงได้ยินเสียงคนและยานพาหนะที่สัญจรไปมา เสียงจอแจของคนที่อาศัยชุมชนที่มากับตึกรามบ้านช่องอันแวดล้อมตอไม้อยู่ทุกวัน ตอไม้ยังคงคิดถึงสหายผู้จากไปอย่างไม่เสื่อมคลาย

--------------------------------------------------------------

และในที่สุดเด็กน้อยของต้นไม้ซึ่งบัดนี้ชราภาพลงไปมาก ผู้จากไปตามล่าหาความสุข ก็กลับมา บัดนี้เขามาในร่างชายชราที่อ่อนเปลี้ยเพลียแรงเดินเหินไม่สะดวกดั่งเดิม ต้องใช้ไม้เท้าค้ำยันกายเคลื่อนไหวไปอย่างยากลำบาก  บ้านที่เขาเคยอยู่อาศัยไม่เหมือนก่อนแล้ว ตึกรามบ้านช่องและโรงงานผุดขึ้นอย่างหนาแน่นบนผืนแผ่นแม่ธรณีที่เคยสวยงามและบริสุทธิ์  ป่าและพื้นที่สีเขียวหายไปหมด บัดนี้อากาศที่เคยบริสุทธิ์ก็ตลบอบอวลด้วยฝุ่นและควันพิษจากโรงงาน และกิจการต่างๆที่ขยายตัวปกคลุมพื้นที่สีเขียวที่เคยมีจนหมดสิ้น ชายชราแทบจะหาตอไม้เพื่อนยากไม่เจอ เขาเดินโซซัดโซเซ กระเสือกกระสนมาถึงตอไม้จนได้ ด้วยความชราภาพของเขาและสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษมากขึ้น เขาเดินไปด้วยความเหนื่อยหอบต้องหยุดเป็นระยะๆ

เมื่อเขามาถึงตอไม้เพื่อนรักได้สำเร็จ ต้นไม้เห็นเขาแล้วจึงพูดว่า “เธอมาแล้ว ฉันรอเธอนานเหลือเกิน”

ชายชราตอบว่า “รู้สึกดีที่ได้มาพบท่านต้นไม้อีกครั้งหนึ่ง ฉันแล่นเรือไปยังเมืองอื่นไปตามฝัน อยู่ที่นั่นเสียหลายปี” เขาพูดไปต้องหยุดไอเป็นระยะๆ

ต้นไม้จึงพูดว่า “เธอหายใจได้อย่างยากเย็นเหลือเกิน ค่อยๆหายใจนะ”

ชายชราเห็นพ้องกับตอไม้ว่า “ใช่ๆ มลพิษทำให้หายใจลำบากมากขึ้น”

ตอไม้พูดว่า “ฉันเสียใจเหลือเกินตอนนี้ต้องขอโทษด้วยนะ ฉันไม่มีต้นไม้ให้เธอปีนเล่นอีกแล้ว ไม่มีกิ่งไม้ให้เธอห้อยโหนโจนทะยานเหมือนก่อน ไม่มีผลแอปเปิ้ลมาต้อนรับเธอแล้ว ฉันก็หมดทุกสิ่ง”

ชายชราตอบต้นไม้อย่างมีเหตุผลว่า “ฉันแก่เกินกว่า ที่จะปีนต้นไม้ได้อีกแล้ว ฉันปวดหลัง ฉันเหนื่อยเกินกว่าที่จะห้อยโหนโจนทะยานกิ่งไม้ได้อีกแล้ว ฟันฉันก็หักจนหมดปาก ยากที่จะกัดแอปเปิ้ลสดๆกินได้อีกแล้ว”

ต้นไม้ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง กล่าวว่า “ฉันขอโทษเธอจริงๆ  ฉันอยากให้อะไรเธอบ้าง แต่ฉันไม่มีอะไรเหลือจริงๆ บัดนี้ฉันเป็นเพียงขอนไม้ผุๆท่อนหนึ่งเท่านั้น”

ชายชราเห็นด้วยกับตอไม้ว่า ป่าไม่มีเหลือแล้ว ป่าคอนกรีตไม่สามารถจะผลิตอากาศหายใจที่สะอาดบริสุทธิ์ได้เหมือนต้นไม้หรอก แต่ต้นไม้เท่านั้นที่ให้อากาศอันสะอาดบริสุทธิ์ได้

ตึกยอดเสียดฟ้าไม่ให้ความสุขได้หรอก ดูซิมนุษย์ผู้ละโมบทำกันได้ถึงเพียงนี้ นับวันเมืองมีแต่จะผลิตมลพิษมาแทนอากาศบริสุทธิ์มากขึ้นทุกวันๆ  ประชาชนไม่เข้าใจความสำคัญของธรรมชาติแล้วหรือนี่

ต้นไม้ได้แต่ถอนหายใจ ไม่รู้จะพูดอย่างไร พูดได้แต่คำว่า “เหนื่อย เหนื่อยจริงๆ”

ชายชราพูดดังๆว่า “ฉันต้องการอากาศบริสุทธิ์หายใจ ต้องการที่นั่งเล่นสบายๆ”

ต้นไม้ตอบว่า “มาซิเด็กน้อย แม้บัดนี้ฉันจะเหลือแต่ตอ ก็พอที่จะให้เธอนั่งพักได้ นั่งลง นั่งลงพักเถอะ”

ชายชราจึงนั่งลงบนตอไม้แล้วถอนหายใจยาวลึกอย่างผ่อนคลาย  มองลงไปยังแม่น้ำที่ใสบริสุทธิ์ที่ต้องแสงพระอาทิตย์ สะท้อนแสงระยิบระยับดั่งสีเงินยวง มองดวงอาทิตย์ที่กำลังหย่อนดวงลับลงขอบฟ้าอย่างช้าๆ เขารู้สึกว่า หายใจสะดวกขึ้นค่อยๆเคลื่อนไหวอย่างแผ่วเบา จึงพูดกับต้นไม้อีกว่า

“ท่านต้นไม้ ท่านยังโชคดีเสมอ ท่านมีวิวทิวทัศน์ที่สวยงามที่สุด ดวงอาทิตย์ สายน้ำที่ใสบริสุทธิ์ยามกระทบกับแสงพระอาทิตย์สะท้อนแสงระยิบระยังดั่งสีเงินยวง” แล้วเขาก็เล่าเรื่องชีวิตที่ผ่านมาทั้งหมด บอกถึงโลกที่เปลี่ยนไปให้ตอไม้เพื่อนรักฟังอย่างมากมาย

 ตอไม้ฟังเพื่อนรักเล่าเรื่องอย่างมีความสุข ทั้งสองกลับมามีความสุขร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง เป็นความสุขอันบริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นจากความสัมพันธ์ระหว่างธรรมชาติกับมนุษย์ เป็นความสุขสงบยั่งยืนไม่มีที่สุด เราจะต้องรักษาและเคารพพระแม่ธรณี

จำไว้นะ มนุษย์ต้องการป่า ป่าต้องการมนุษย์  การรักษาป่าคือ การรักษาธรรมชาติ และธรรมชาติก็กลับมารักษามนุษย์

วันที่ 10 พฤศจิกายน 2561 เวลา 12.50 น.
วัดพุทธปัญญา เมืองโพโมน่า
ดร.พระมหาจรรยา สุทฺธิญาโณ ถอดความจากเรื่อง The Giving Tree story/Bedtime Stories/Stories of kid/Fairy Tales./My pingu TV.

 




นำเสนอข่าวโดย : ภาณุพล รักแต่งาม,
แหล่งที่มาข่าวโดย : สยามทาวน์ยูเอส
12-07-2022 บันทึกไว้สมัยเรียนบาลี : ตอนที่ 50 สุดทางสายบาลี (0/2826) 
06-07-2022 บันทึกไว้สมัยเรียนบาลี : ตอนที่ 49 ฝึกฝนตนที่วัดชลประทานรังสฤษฎ์ (0/656) 
28-06-2022 บันทึกไว้สมัยเรียนบาลี : ตอนที่ 48 สอบได้แต่แม่เสีย (0/622) 
20-06-2022 บันทึกไว้สมัยเรียนบาลี : ตอนที่ 47 สอบเปรียญธรรม 7 ประโยคได้ (0/687) 
07-06-2022 บันทึกไว้สมัยเรียนบาลี : ตอนที่ 46 กราบหลวงพ่อปัญญานันทะ (0/676) 

แสดงความคิดเห็น

Name :

Detail :




ฉบับที่
599
siamtownus newspaper








Hots Clip VDO ดูทั้งหมด

ขออภัยสัญญาณ VDO มีปัญหากำลังดำเนินการแก้ไข