แอลเอ (สยามทาวน์ยูเอส) : ประธานาธิบดีทรัมป์ ประกาศใช้อำนาจพิเศษในฐานะเป็นประนาธิบดี สั่งยกเลิกการให้สัญชาติอเมริกันแก่เด็กในครอบครัวที่อยู่อย่างผิดกฎหมาย โชว์โง่อเมริกาเป็นประเทศเดียวในโลกที่ให้สิทธิการเป็นพลเมืองโดยกำเนิดแก่ประชาชน ก่อนถูกตอกหน้าหงายโดยประธานสภาของพรรคตัวเอง ที่บอกประธานาธิบดีไม่มีอำนาจเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ ขณะสื่ออเมริกัน ประสานเสียงว่ามีกว่า 30 ประเทศในโลกที่ให้สิทธิการเป็นพลเมืองโดยกำเนิด
ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ สัมภาษณ์รายการข่าว แอกซิออส เอชบีโอ (Axios HBO) ทางช่อง เอชบีโอ เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม ที่ผ่านมา ว่าเขาต้องการใช้อำนาจบริหารสูงสุดของประธานาธิบดีสหรัฐฯ (executive order) ยกเลิกกฎหมายการให้สัญชาติแก่ “เด็กทุกคน” ที่เกิดบนแผ่นดินสหรัฐฯ ซึ่งถูกบัญญัติเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายสิทธิพลเมืองสหรัฐฯ มาตราแก้ไขที่ 14 (the 14th Amendment) อันเป็นกฎหมายที่มีมาตั้งแต่ปี 1868 ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กที่เกิดในครอบครัวของผู้อพยพที่อยู่อย่างผิดกฎหมาย ได้รับสิทธิตามกฎหมายนี้
การแสดงวิสัยทัศน์ของประธานาธิบดีทรัมป์ เรื่องการแก้ไขปัญหาคนเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายครั้งล่าสุดนี้ ถูกมองว่าเป็นการหาเสียงกับชาวอเมริกัน ที่มีแนวคิดขวาจัด เฮือกสุดท้าย ก่อนถึงวันเลือกตั้งกลางเทอม ในวันที่ 6 พฤศจิกายน เพราะแนวคิดนี้ เคยถูกนำมาใช้อย่างได้ผลมาแล้วระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดี เมื่อปี 2016 โดยครั้งนั้น ทรัมป์ประกาศว่าหากได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี เขาจะหาทางยกเลิกการให้สัญชาติกับเด็กในครอบครัวของผู้อยู่อย่างผิดกฎหมายให้ได้
ศูนย์วิจัยพิว (Pew Research Center) ระบุว่าว่าในปี 2014 มีทารกกว่า 275,000 คนที่เกิดในครอบครัวของผู้ที่อยู่ในอเมริกาแบบผิดกฎหมาย และว่ากว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของเด็กเหล่านี้เ กิดหลังจากที่พ่อแม่หลบหนีเข้าเมืองมาได้เพียงไม่ถึงสองปี
ข่าวบอกด้วยว่า การแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญนั้น จำเป็นต้องได้รับการเห็นชอบถึง 2 ใน 3 ของทั้งสองสภาในคองเกรส บวกกับเสียงสนับสนุนอีก 3 ใน 4 ของรัฐสภาระดับรัฐ ที่จะต้องมาร่วมกันออกเสียงในการประชุมพิเศษ เรียกว่าการประชุมร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญ (Constitutional Convention)
แต่ในประเด็นนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ กล่าวระหว่างการให้สัมภาษณ์กับ เอชบีโอ ว่า ไม่มีความจำเป็นใดๆ เพราะเขามีอำนาจบริหารสูงสุดอยู่ในมือแล้ว จึงสามารถทำอะไรก็ได้ตามความต้องการ
“ผมได้รับการบอกกล่าวตลอดมาว่า คุณจำเป็นต้องแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญ แต่รู้อะไรไหม ไม่ต้องเลย” เขากล่าว
อย่างไรก็ตาม ภายในวันเดียวกัน พอล ไรอัน ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ สังกัดพรรครีพับลิกัน ได้ออกมาคัดง้านแนวคิดของประธานาธิบดีทรัมป์ทันที โดยบอกว่าแนวคิดดังกล่าวของทรัมป์ เป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำได้ อีกทั้งบอกให้ผู้นำสหรัฐฯ กลับไปตรวจสอบข้อเท็จจริงใหม่อีกครั้งด้วย
“อย่างที่เห็นได้ชัดว่า คุณไม่สามารถกระทำได้ คุณไม่สามารถยุติสิทธิพลเมืองสหรัฐฯที่ได้จากการถือกำเนิดด้วยอำนาจประธานาธิบดี” ไรอันกล่าวให้สัมภาษณ์ผ่านรายการข่าวของสถานีวิทยุ ดับเบิลยูวีแอลเค ของรัฐเคนตักกี้
พอล ไรอัน กล่าวต่อไปว่า ในฐานะเป็นนักการเมืองหัวอนุรักษ์นิยม ตนเชื่อมั่นว่าทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญระบุเอาไว้ “และผมคิดว่าในกรณีนี้ มาตราแก้ไขข้อที่ 14 บอกเอาไว้ชัดเจนมากเลย”
ประธานสภาผู้แทนบอกว่า แม้จะไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของประธานาธิบดีทรัมป์ แต่เขาและประธานาธิบดีทรัมป์ก็มีจุดยืนเดียวกันว่าปัญหาการเข้าเมืองแบบผิดกฎหมายเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องการการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ทั้งการเสริมสร้างความมั่นคงตลอดแนวชายแดน และแก้ไขกฎหมายอิมมิเกรชั่น
ประธานาธิบดีทรัมป์ บอกระหว่างการให้สัมภาษณ์กับรายการข่าวของเอชบีซี ซึ่งเป็นรายการใหม่ เพิ่งแพร่ภาพได้เพียงไม่กี่วัน ด้วยว่า อเมริกาเป็นเพียงประเทศเดียวในโลกเท่านั้น ที่ยอมให้ใครก็ตามที่ถือกำเนิดในประเทศสามารถได้สิทธิความเป็นพลเมือง ซึ่งเป็นข้อมูลที่ผิดพลาดอย่างมหาศาล
CNN ซึ่งถูกประธานาธิบดีทรัมป์ปรามาศว่าเป็น “สำนักข่าวปลอม” ตลอดมา ได้นำข้อมูลจาก CIA World Factbook ซึ่งเป็นข้อมูลเปิด มารายงานคัดง้างกับผู้นำสหรัฐฯ ว่า ในปัจจุบัน มีประเทศต่างๆ กว่า 30 ประเทศทั่วโลก ที่ยอมให้สัญชาติแก่ผู้ที่เกิดในประเทศนั้นตามหลัก “jus soli” ในภาษาลาตินที่หมายความถึง “สิทธิโดยแผ่นดิน” ซึ่งต่างจากประเทศที่มอบสัญชาติให้แก่บุคคลตามกฎ “สิทธิโดยสายโลหิต” (jus sanguinis)
ในวันเดียวกัน ระหว่างที่ประธานาธิบดีทรัมป์ และนางเมลาเนีย ภริยา เดินทางไปร่วมพิธีศพเหยื่อชาวยิว 11 รายที่ถูกยิงเสียงชีวีตระหว่างประกอบพิธีทางศาสนาในโบสถ์ยิว ที่เมืองพิตต์เบิร์ก เขาถูกถูกชาวเมืองหลายสิบคน ชุมนุมถือป้ายขับไล่ โดยกลุ่มต่อต้านเหล่านี้ ตะโกนว่าคนที่ไม่ต้อนรับคนต่างเชื้อชาติ ก็ไม่ควรได้รับการต้อนรับเช่นกัน
นอกจากนี้ กลุ่มต่อต้านประธานาธิบดีทรัมป์ส่วนหนึ่ง ยังแสดงความเห็นว่า เหตุการณ์กราดยิงชาวยิว ระหว่างพิธีศาสนาที่โบสถ์ยิวในเมืองพิตต์สเบิร์ก เมื่อวันเสาร์ที่ 27 ตุลาคมที่ผ่านมา จนมีผู้เสียชีวิตถึง 11 ราย ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ประกาศรองรับให้นครเยรูซาเล็ม เป็นเมืองหลวงอิสราเอล เมื่อเดือนธันวาคม 2017 รวมถึงมีการย้ายสถานทูตสหรัฐฯในอิสราเอลจากกรุงเทลอาวีฟ มายังเยรูซาเล็ม ด้วย ซึ่งการ “เข้าข้างอิสราเอล” ในกรณีความความขัดแย้งที่มีมากว่า 60 ปีดังกล่าวนี้ ทำให้โลกมุสลิมและชาวปาเลสไตน์แค้นเคืองอย่างมาก ถึงขั้นกลายเป็นคดีฆาตกรรมชาวยิวครั้งที่รุนแรงที่สุดในแผ่นดินสหรัฐฯ ครั้งนี้
นอกจากนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ ยังถูกวิจารณ์อย่างหนัก กรณีส่งกองกำลังทหารถึง 5,200 นาย ไปรักษาการชายแดนติดประเทศเม็กซิโก เพื่อสร้างกระแสความหวาดกลัวผู้อพยพหลบหนีเข้าเมือง หวังดึงคะแนนเสียงในช่วงก่อนการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯในวันที่ 6 พฤศจิกายนนี้.