ข่าวคนไทยในอเมริกา
บทความหน้าสาม : เลือกตั้งกลางเทอม บทพิสูจน์ใจคนอเมริกัน (อีกครั้ง)





ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ชูนโยบาย “อเมริกันเฟิร์ส” บริหารประเทศมาได้สองปี ผลงานของเขาย่อมเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาของคนอเมริกันทั่วประเทศกันแล้วว่าดีหรือชั่วอย่างไร... ดังนั้นการเลือกตั้งกลางเทอม จะมีขึ้นในวันอังคารที่ 6 พฤศจิกายนนี้ จึงน่าจะเป็นการพิสูจน์ใจของคนอเมริกันว่าพอใจหรือไม่ กับทิศทางของประเทศอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดีคนนี้

โดยการเลือกตั้งคราวนี้ จะมีการชิงที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร 435 ที่นั่ง และวุฒิสภา 35 ที่นั่ง ซึ่งหากเสียงส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการแนวทางการทำงานของทรัมป์ก็คงจะมี ส.ส. และ ส.ว.ของพรรครีพับลิกันเข้าไปเสริมทีมในคองเกรสมากขึ้น เพื่อให้แน่ใจได้ว่าประธานาธิบดีทรัมป์ จะนำพาประเทศไปในทิศทางที่เขาต้องการได้แบบไร้การควบคุมต่อไปอีกอย่างน้อยสองปี

และในทางตรงกันข้าม หากคนอเมริกันเห็นผลร้ายที่กำลังเกิดขึ้นกับประเทศที่เคยเป็นเหมือน “พี่ใหญ่” ของโลก เคยมีนโยบายการเมืองระหว่างประเทศที่โอบอ้อมอารี สามารถตำหนิติเตียนนานาชาติที่มีพฤติกรรมนอกลู่นอกทางได้อย่างเต็มปากเต็มคำตลอดมา หรือเห็นความเปลี่ยนแปลงของ “American values” ที่คนอเมริกันเคยยึดถือเป็นเพชรยอดมงกุฎ กลายเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยความเหยียดผิวชังพันธุ์ ให้ค่าของผู้ชายมากกว่าผู้หญิงหรือเพศที่สาม อย่างที่กำลังเป็นอยู่... เสียงของ เดโมแครต ในคองเกรสก็อาจจะทวีขึ้น เพื่อเป็นแรงเสียดทานไม่ให้อเมริกาถลำลึกสู่ความแตกแยก ทั้งภายในและภายนอกมากกว่าที่เป็นที่อยู่

ดังนั้น ในความรู้สึกของผู้สนใจการเมืองสหรัฐฯ โดยทั่วไปแล้ว การเลือกตั้งมิดเทอมครั้งนี้ จึงมีความสำคัญมากที่สุด ในประวัติการเลือกตั้งสหรัฐฯ เลยทีเดียว...

ประธานาธิบดีทรัมป์เองก็รู้ในเรื่องนี้ดี ดังนั้นจึงใช้เวลาในช่วงเดือนที่ผ่านมา ออกเดินสายอวดโอ่ผลงาน เพื่อช่วยลูกพรรคหาเสียงชนิดถี่ยิบ เพราะหากพรรครีพับลิกันสามารถรักษาที่นั่งในสภาเอาไว้ได้เท่าเดิมหรือมากกว่าเดิม ก็จะทำให้เขาสามารถโอ่ได้เต็มปากว่า ชาวอเมริกันเห็นชอบกับแนวทางการทำงานแบบสุดโต่งของเขา และสนับสนุนให้เขาเป็นประธานาธิบดีต่อไป

การปราศรัยที่เมืองฮิวสตัน ประธานาธิบดีทรัมป์โปรยยาหอมด้วยการชูนโยบายลดภาษีเพิ่มเติมอีก 10 เปอร์เซ็นต์ สำหรับชาวอเมริกันชนชั้นกลาง หลังจากที่ได้ประกาศปฏิรูประบบภาษีครั้งใหญ่ในรอบกว่า 30 ปีไปเมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว ซึ่งครอบคลุมถึงการปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลลงสู่ระดับ 21 เปอร์เซ็นต์ จากระดับ 35 เปอร์เซ็นต์

ผู้นำสหรัฐฯ ยังยืนยันด้วยว่า สหรัฐฯ ต้องเร่งสร้างกำแพงชายแดนเพื่อป้องกันขบวนผู้อพยพจากอเมริกากลาง โดยเขาบอกว่าขบวนคาราวานผู้อพยพที่กำลังหนีร้อนมาพึ่งเย็นเหล่านี้เป็น “การจู่โจมอเมริกา” ของกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน หลังจากที่ก่อนหน้านี้ทรัมป์ได้กล่าวที่วอชิงตันว่า จะเริ่มตัดหรือลดความช่วยเหลือแก่สามประเทศในอเมริกากลาง ได้แก่ กัวเตมาลา ฮอนดูรัส และเอลซัลวาดอร์ โดยมีการคาดการณ์ว่าเงินช่วยเหลือในปีงบประมาณ 2019 จะลดลงถึง 40 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปี 2016

นอกจากนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ ยังชูผลงานด้านเศรษฐกิจของตนเอง โดยระบุว่า เศรษฐกิจประเทศดีขึ้นกว่าเดิม บริษัทต่างๆ เริ่มกลับเข้ามาลงทุนในสหรัฐฯ  และอัตราว่างงานก็ลดลงอย่างมาก นอกจากนั้นยังย้ำว่าตนเองปกป้องผลประโยชน์ของประเทศด้วยการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงการค้าต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อตกลงสหรัฐฯ อเมริกา-เม็กซิโก-แคนาดา (USMCA) ที่จะเข้ามาแทนที่ข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) ซึ่งเริ่มมีการเจรจากันเมื่อปี 2017 และตกลงกันได้เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2018  และคาดว่า จะผ่านสภาคองเกรสก่อนที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2020

อย่างไรก็ดี ผลสำรวจซึ่งจัดทำโดย Bankrate ระบุว่า 45 เปอร์เซ็นต์ ของชาวอเมริกันมองว่าสถานการณ์ด้านการเงินของตนเองไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมนับตั้งแต่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2016 ขณะที่ 38 เปอร์เซ็นต์ มองว่า สถานการณ์ด้านการเงินของตนเองดีขึ้น ส่วน 17 เปอร์เซ็นต์ ระบุว่า สถานการณ์ด้านการเงินของตนเองย่ำแย่ลง

ในขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์พยายามชูสรรพคุณของตัวเองเพื่อเรียกคะแนนเสียงจากกลุ่มผู้สนับสนุนอยู่นั้น พฤติกรรมที่ย้ำให้เห็นถึงความไม่เหมาะสมของการก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของทรัมป์ ก็ถูกนำมา “ไฮไลต์” อย่างต่อเนื่อง เช่นเมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์นิวยอร์ค ไทม์ส เสนอข่าวว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ได้รับมรดกจากบิดามากกว่าที่เขาแจ้งต่อทางการ และครอบครัวของเขายังใช้แผนพลิกแพลงต่างๆ เพื่อจ่ายภาษีน้อยลง ซึ่งแน่นอนว่าประธานาธิบดีทรัมป์ปฏิเสธว่ารายงานข่าวดังกล่าวนั้นไม่เป็นความจริง และเป็นการหมิ่นประมาท และเป็นแค่ “fake news” เท่านั้น

ในช่วงปลายเดือนตุลาคม ก็เกิดเหตุป่วนเมือง โดยมีการส่งพัสดุ 12 ชิ้นที่บรรจุวัตถุระเบิดไปยังบุคคลต่างๆ ที่อยู่ฝ่ายตรงกันข้ามกับประธานาธิบดีทรัมป์ ทั้งอดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามา, อดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน และนางฮิลลารี คลินตัน, โจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ , จอร์จ โซรอส, โรเบิร์ต เดอ นีโร นักแสดงชื่อดัง, สำนักข่าว CNN รวมทั้งสมาชิกสภาคองเกรสสังกัดพรรคเดโมแครต และผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครตอีกหลายคน ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์ยอมรับว่าเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลต่อคะแนนเสียงของพรรครีพับลิกันในการเลือกตั้งกลางเทอม แม้ว่าเจ้าหน้าที่สามารถสกัดพัสดุเหล่านั้นได้และจับกุมผู้ก่อเหตุได้แล้วก็ตาม

ล่าสุด ทรัมป์ได้ทวีตข้อความเมื่อวันที่ 30 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยขู่บรรดานักลงทุนว่า ถ้าพรรคเดโมแครตชนะการเลือกตั้งกลางเทอมในวันที่ 6 พฤศจิกายนนี้จะส่งผลให้ตลาดหุ้นทรุดตัวลงด้วย...

"ตลาดหุ้นได้พุ่งขึ้นอย่างมากนับตั้งแต่การเลือกตั้งประธานาธิบดี แต่ขณะนี้กำลังชะลอตัวลง โดยผู้คนกำลังรอดูผลการเลือกตั้งกลางเทอม ซึ่งถ้าคุณอยากให้หุ้นของคุณตก ผมก็ขอแนะนำให้คุณลงคะแนนเสียงเลือกพรรคเดโมแครต เพราะพวกเขาชอบรูปแบบทางการเงินของเวเนซุเอลา โดยเก็บภาษีสูง และเปิดชายแดน" ข้อความในทวิตเตอร์ของทรัมป์ระบุ

ซึ่งจะว่าไป คำขู่ประธานาธิบดีทรัมป์ ก็สอดคล้องกับบทวิเคราะห์ของ มาร์ค โมเบียส ซีอีโอของ เทมเพิลตัน อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ตส์ กรุ๊ป และผู้ก่อตั้งบริษัทโมเบียส แคปิตัล พาร์ทเนอร์ส ที่ระบุว่า ตลาดหุ้นจะทรุดตัวลงมากขึ้น หากพรรครีพับลิกันพ่ายแพ้การเลือกตั้งกลางเทอมในสัปดาห์หน้า

ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อปี 2016 ได้เกิดกรณีรัสเซียเข้ามาแทรกแซงการเลือกตั้ง ซึ่งเหตุฉาวโฉ่ดังกล่าวยังไม่คลี่คลายมาจนทุกวันนี้ แม้ว่าประธานาธิบดีทรัมป์ปฎิเสธการมีส่วนรู้เห็นมาโดยตลอด สำหรับการเลือกตั้งกลางเทอมครั้งนี้ หน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ รายงานว่ารัสเซียพยายามแทรกแซงการเลือกตั้งอีก นอกจากนั้นยังมีจีน อิหร่าน และเกาหลีเหนือ ที่ถูกจับตาเป็นพิเศษด้วยเช่นกัน

ประธานาธิบดีทรัมป์พยายามเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมาด้วยการลงนามคำสั่งประธานาธิบดีเพื่อใช้สิทธิอำนาจในการลงโทษบุคคลและบริษัทต่างชาติที่แทรกแซงการเลือกตั้งของสหรัฐฯ  โดย แดน โคทส์ ผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ  เปิดเผยว่า คำสั่งดังกล่าวจะมอบอำนาจให้กับฝ่ายข่าวกรองในการประเมินว่า มีบุคคลต่างชาติ คณะบุคคลต่างชาติ หรือประเทศอื่นๆ แทรกแซงการเลือกตั้งของสหรัฐฯ หรือไม่ หากพบว่ามีพฤติกรรมเข้าข่ายการแทรกแซงการเลือกตั้ง ก็จะใช้มาตรการคว่ำบาตรโดยอัตโนมัติทันที

“โดยมาตรการคว่ำบาตรดังกล่าว อาจครอบคลุมการสกัดกั้นทรัพย์สินของบุคคลและกลุ่มบุคคลภายในเขตอำนาจของสหรัฐฯ  พร้อมสั่งห้ามไม่ให้บุคคลและกลุ่มบุคคลของสหรัฐฯ มีการติดต่อทางธุรกิจหรือลงทุนกับบุคคลกลุ่มนี้” ผอ.สำนักงานข่าวกรอง ระบุ

หากว่ากันเฉพาะรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นรัฐของพรรคเดโมแครตแล้วละก็ การเลือกตั้งกลางเทอมครั้งนี้ ชัยชนะคงจะเป็นของพรรคเดโมแครตอีกครั้งอย่างไม่ต้องสงสัย แต่หากมองในระดับประเทศแล้วละก็... ชัยชนะของพรรคเดโมแครต ยังเป็นเรื่องที่ต้องลุ้นอย่างมาก

โดยเสียงของบรรดานักวิเคราะห์การเมืองส่วนใหญ่มองว่า พรรคเดโมแครตาน่าจะคว้าชัยชนะ กลายเป็นเสียงส่วนใหญ่ได้เฉพาะในสภาล่าง หรือสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น ส่วนสภาสูง หรือวุฒิสภา ก็จะยังครองเสียงส่วนใหญ่โดยพรรครีพับลินเหมือนเดิม...

ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงก็ถือเป็นแนวโน้มที่ดี เพราะอย่างน้อยในระยะสองปีต่อจากนี้ บริหารประเทศแบบเด็กเอาแต่ใจตัวเอง ของประธานาธิบดีทรัมป์ ก็จะเป็นไปได้ยากลำบากขึ้น....


 




นำเสนอข่าวโดย : ภาณุพล รักแต่งาม,
แหล่งที่มาข่าวโดย : สยามทาวน์ยูเอส

แสดงความคิดเห็น

Name :

Detail :




ฉบับที่
597
siamtownus newspaper








Hots Clip VDO ดูทั้งหมด

ขออภัยสัญญาณ VDO มีปัญหากำลังดำเนินการแก้ไข