เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2018 เวิลด์อีโคโนมิคฟอรัม (ดับเบิลยูอีเอฟ) เผยแพร่ผลการจัดทำดัชนีขีดความสามารถในการแข่งขันประจำปี 2018 ของ 140 ประเทศทั่วโลก
ดัชชีประจำปี 2018 ดังกล่าวนี้ ถือเป็นปีแรกที่มีการปรับเปลี่ยนตัวชี้วัดในการจัดทำดัชนีเสียใหม่ โดยใช้ตัวชี้วัดรวม 98 ประการ แยกออกเป็น 12 หัวข้อ อาทิ สถาบันต่างๆ, สาธารณูปโภค, เสถียรภาพของเศรษฐกิจมหภาค, พลวัตรทางธุรกิจ และศักยภาพเชิงนวัตกรรมเป็นต้น
ในส่วนของประเทศไทยนั้น ผลการจัดอันดับปรากฏว่ามีคะแนนรวมดีขึ้นจาก 66.2 เป็น 67.5 คะแนน ทำให้อันดับโลกของไทยปรับตัวดีขึ้น 2 อันดับ คือจากอันดับ 40 เมื่อปี 2017 มาอยู่ในอันดับ 38 ในปีนี้ แต่คะแนนดังกล่าว ยังถือว่าอยู่ในอันดับที่ 3 ของภูมิภาคอาเซียน ต่อจากอันดับหนึ่งคือสิงคโปร์ (อันดับ 2 ของโลก) 83.5 คะแนน และ มาเลเซีย ซึ่งอยู่ในอันดับ 25 ของโลก (74.4 คะแนน)
ส่วนอันดับ 4 ของอาเซียนต่อจากไทยคือ อินโดนีเซีย (อันดับโลก 45) ตามด้วย ฟิลิปปินส์ (อันดับโลก 56) ส่วนชาติอาเซียนที่เหลือไม่รวมอยู่ในการจัดอันดับครั้งนี้
ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยของดับเบิลยูอีเอฟ ให้น้ำหนักกับนโยบายเน้นให้ความสำคัญต่อการขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจด้วยเทคโนโลยีในอนาคตของรัฐบาล และการจัดทำโครงการซึ่งเน้นหนักไปที่การให้คำปรึกษาและตัวอย่างทักษะทางธุรกิจภายใต้กรอบคิดของการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ตัวอย่างเช่นการจัดทำโครงการ “เอนเทอร์เพรเนอร์ชิป ยูนิเวอร์ซิตี” ซึ่งทำให้ทั้งคณะทำงานและนักศึกษาสามารถปรับปรุงทักษะในการพัฒนาธุรกิจได้โดยมีผู้ผ่านการอบรมมาแล้วเฉพาะในปี 2560 มากถึง 30,000 คนจาก 30 มหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางของดับเบิลยูอีเอฟ ที่เชื่อว่าผู้ประกอบการใหม่ๆ ด้วยเทคโนโลยีใหม่ภายใต้สภาพแวดล้อมแบบใหม่ จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือแนะนำจากผู้รู้ท่ามกลางการแข่งขันสูงและเข้มข้น.