ภาพยนตร์ไทยเรื่อง “มะลิลา” (Malila The Farewell Flower) ของผู้กำกับอนุชา บุญยวรรธนะ คือภาพยนตร์ไทยประจำปี 2018 ที่ได้รับเลือกด้วยมติเป็นเอกฉันท์ จากคณะกรรมการ ซึ่งมีทั้งหมดเจ็ดคนของสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ ให้เป็นตัวแทนประเทศไทย เข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศ ปีนี้
โดยภาพยนตร์ไทยที่ผ่านเข้ารอบสุดท้าย มีสามเรื่องคือ ไม่มีสมุยสําหรับเธอ (Samui Song) พรุ่งนี้ตาย (Die Tomorrow) และ มะลิลา
“มะลิลา” เป็นหนังที่บอกเล่าถึงความรักความอาลัยของผู้ที่จากไป เรื่องราวของ เชน (ศุกลวัฒน์ คณารศ) เจ้าของสวนมะลิผู้มีอดีตอันเจ็บปวด และ พิช (อนุชิต สหพันธุ์พงษ์) ศิลปินนักทำบายศรี อดีตคนรักของเชนในวัยเด็กที่กลับมาพบกันอีกครั้ง ทั้งคู่พยายามเยียวยาบาดแผลในอดีตและรื้อฟื้นความสัมพันธ์ผ่านการทำบายศรีอันงดงาม
หนังเรื่องนี้เป็นหนึ่งในหนังไทยที่ได้รับทุนการสนับสนุนจากกระทรวงวัฒนธรรม และได้รับเลือกจากโครงการ Thai Film Pitching Project กระทรวงวัฒนธรรม ให้เดินทางไปหาผู้ร่วมทุนสร้างในเทศกาลหนังเมืองคานส์
“มะลิลา” เข้าฉายในประเทศไทยเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และคว้ารางวัลจากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติที่ปูซาน และสิงคโปร์มาแล้ว
สำหรับรางวัลภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศ ของรางวัลออสก้าร์ ปีนี้ มีภาพยนตร์จาก 87 ประเทศเข้าร่วมชิงชัย น้อยกว่าปีที่ผ่านมาห้าประเทศ แต่ข่าวบอกว่าเป็นปีที่มีภาพยนตร์ที่ได้รับความสนใจ หรือไฮโปรไฟน์ มากกว่าปีที่ผ่านมา
นิตยสาร และวารสารเกี่ยวกับอุตสาหกรรมภาพยนตร์สหรัฐฯ พูดถึงภาพยนตร์จากเอเชียที่น่าจับตามองบนเวทีออสก้าร์หลายเรื่อง เช่น Hidden Man ภาพยนตร์แอ๊คชั่นย้อนยุคจากประเทศจีน ผลงานของผู้กำกับ เจียง เวน (Jiang Wen) เรื่องราวของจอมยุทธหนุ่มที่นำแสดงโดย เผิง อวี๋เยี่ยน หรือ เอ็ดดี้ เผิง ที่เดินทางกลับกรุงปักกิ่งในยุค 1930s ก่อนที่ญี่ปุ่นจะบุกยึดเมืองจีนไม่นาน เป็นภาพยนตร์แอ๊คชั่นที่มีเรื่องราวดราม่าและประวัติศาสตร์เป็นฉากหลัง ถือเป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง เพราะทำเงินได้ 583 ล้านหยวน หรือประมาณ 84 ล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ยังมีการพูดถึงภาพยนตร์จีน ที่ได้รับการเสนอชื่อโดยฮ่องกงและไต้หวันด้วย คือเรื่อง Operation Red Sea ของฮ่องกง เป็นผลงานเรื่องที่สองดาราหนุ่ม เผิง อวี๋เยียน ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสก้าร์ปีนี้ เป็นผลงานกำกับของ “ราชาหนังแอ๊คชั่น” ดังเต้ แลม หรือ หลินเชาเสียน ที่ทำเงินได้มากกว่า 532 ล้านดอลลาร์ในประเทศจีน ส่วนภาพยนตร์ของไต้หวันนั้น คือ The Great Buddah+ หนัง “ตลกมืด” เกี่ยวกับศรัทธาของชาวพุทธ ผลงานกำกับเรื่องแรกของ Huang Hsin-Yao ที่กวาดรางวัลใหญ่ๆ ถึงหกรางวัลจากเทศกาลภาพยนตร์ไทเปมาเมื่อไม่นานมานี้
นอกจากนี้ ยังมีการพูดถึงภาพยนตร์เรื่อง Shoplifter ของญี่ปุ่น ที่คว้ารางวัล Palme d’Or จากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ปีนี้ เป็นเรื่องราวดรามาบีบคั้นหัวใจของครอบครัวชาวญี่ปุ่นที่ยากจนแสนสาหัส และ Burning ผลงานของผู้กำกับ ลี จาง ดอง ของเกาหลีใต้ เป็นภาพยนตร์ที่ได้รับคะแนนจากบรรดาลูกขุน (Jury) สูงสุดในประวัติศาสตร์ของเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ (highest-scoring title in history of Screen's Cannes jury grid) อีกทั้งเป็นภาพยนตร์จากเกาหลีใต้เรื่องแรกที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสก้าร์ด้วย
นอกจากเกาหลีใต้แล้ว ปีนี้ยังมีภาพยนตร์จากอีกสองประเทศในอัฟริกา ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงราววัลออสก้าร์เป็นครั้งแรก คือ มาลาวี (เรื่อง “The Road to Sunrise) และไนเจอ (The Wedding Ring)
แต่ภาพยนตร์ที่ถือว่าได้รับความสนใจมากที่สุดจากสื่อมวลชนในอเมริกา คือภาพยนตร์จากแม็กซิโก เรื่อง Roma อันเป็นผลงานของ อัลฟองโซ่ คูเอรอน ผู้กำกับแม็กซิกันที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในผู้กำกับภาพยนตร์ที่เก่งที่สุดในโลก โดยเรื่องนี้เขานำเอาชีวประวัติในวัยหนุ่มของตัวเองมาสร้าง เป็นภาพยนตร์ที่ได้รับเสียงวิจารณ์ในแง่ดีจากทั่วโลก รวมถึงคว้ารางวัลจากเทศกาลภาพยนตร์ใหญ่ๆ มากมาย รวมถึงรางวัลสิงห์โตทองคำ จาก เวนิช ฟิล์ม เฟสติวัล ด้วย
ภาพยนตร์จากโปแลนด์ เรื่อง Cold War ก็เป็นที่จับตา เพราะผู้กำกับ คือ พาเวล พาวลิโควสกี้ เคยคว้ารางวัลออสก้าร์ (ภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม) มาแล้วเมื่อสามปีก่อนจากผลงานเรื่อง Ida อีกทั้ง Cold War ก็เพิ่งทำให้เขาได้รับรางวัล ผู้กำกับยอดเยี่ยม จากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ มาเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมานี่เอง
จากภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อในรอบแรกทั้ง 87 เรื่องนี้ จะถูกคัดให้เหลือเพียงเก้าเรื่อง เรียกว่า shotlist จากนั้นจะถูกคณะกรรมการคัดให้เหลือเพียง 5 เรื่องในรอบสุดท้าย โดยจะมีการประกาศรายชื่อกันในวันที่ 22 มกราคม พร้อมๆ กับรายชื่อของผู้เข้าชิงรางวัลทั้งหมดของเวทีออสก้าร์ 2019
โดยงานประกาศผลและมอบรางวัลออสก้าร์ ครั้งที่ 91 จะมีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2019 ที่ เดอะดอลบี้ เธียร์เตอร์ ถนนฮอลลีวูดตัดกับไฮแลนด์ โดยเครือข่าย เอบีซี จะถ่ายทอดสดไปทั่วโลกกว่า 225 ประเทศ.