วาไรตี้ เทรดเปเปอร์เล่มหลักของอุตสาหกรรมหนังอเมริกัน รายงานข่าวโดยอ้างเแหล่งข่าวจากรับบาลไทยว่า เฉพาะเดือนกรกฎาคม 2018 เดือนเดียว มีการติดต่อเพื่อแสดงความจำนงว่าจะสร้างภาพยนตร์ และสารคดีเกี่ยวกับปฏิบัติการช่วยเหลือหมูป่าออกจากถ้ำหลวงฯ มากถึงหกราย
ที่ออกตัวก่อนใครเพื่อนหลังจากปฏิบัติการช่วยเหลือหมูป่าสำเร็จเสร็จสิ้น ก็คือ จอน เอ็ม ชู ผู้กำกับเอเชียที่กำลังดังโด่งดังจากความสำเร็จแบบเซอร์ไพรซ์ของ Crazy Rich Asians โดยเขาบอกว่ากำลังรวบรวมข้อมูลและทีมงานเพื่อพยายามหานายทุนทำภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างเร่งด่วน โดยให้เหตุผลว่าไม่อยากให้เรื่องราวดีๆ ที่เกิดขึ้นที่ประเทศไทยถูกนำไป “ฟอกขาว” โดยผู้สร้างอเมริกันที่เห็นแก่ผลประโยชน์เป็นหลัก พร้อมทั้งยกตัวอย่างภาพยนตร์ “ฟอกขาว” หรือเอาดาราอเมริกันไปสวมบทที่ควรเป็นของคนเอเชียหลายเรื่อง เช่น Ghost in the Shell และ The Great Wall ฯลฯ
แม้ว่าการออกตัว (แรง) ของ จอน เอ็ม ชู จะได้รับเสียงสนับสนุนแบบกระหึ่มจากหลายวงการก็ตาม แต่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีข่าวคืบหน้าใดๆ เกี่ยวกับโปรเจ็กส์นี้ของเขา...
ผิดไปจากค่าย เพียวฟลิกซ์ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ (Pure Flix Entertainment) ที่ประกาศชัดเจนตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเช่นกันว่ากำลังวิ่งเต้นอยู่ที่ปากถ้ำ เพื่อให้ได้สิทธิ์ในการนำเอาเรื่องราวของเด็กๆ ในทีมหมูป่า โค้ชเอก และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคน มาถ่ายทอดเป็นภาพยนตร์ และมีการออกมาให้ข่าวคืบหน้าเป็นระยะ... เหมือนบอกเป็นนัยๆ ว่า “สร้างแน่”
ค่ายเพียวฟลิกซ์ฯ เป็นค่ายเล็กๆ ที่สร้างและจัดจำหน่ายภาพยนต์แนวสรรเสริญพระเจ้า (Christian movie) และหนังแนวฟิลกู๊ด เป็นหลัก ผลงานส่วนใหญ่เป็นหนังฟอร์มเล็กสำหรับปล่อยทางดีวีดี หรือสตรีมมิ่งออนไลน์ แต่ค่ายนี้กลายเป็นที่สนใจจากความสำเร็จของหนังดราม่าเรื่อง God’s Not Dead ที่ลงทุนแค่ 2 ล้านดอลลาร์ แต่ได้รับความสนใจจากค่ายไลออนเกท นำออกฉายโรงเมื่อปี 2014 และทำเงินได้มากกว่า 64 ล้านดอลลาร์... กลายเป็นหนังที่ทำกำไรสูงสุดของปีนั้นไป
แน่นอนว่า เรื่องราวของหมูป่า หากกลายเป็นภาพยนตร์ของค่ายนี้ จะเป็นภาพยนตร์ฟอร์มเล็กมาก เล็กจนแทบไม่มีสิทธิ์ได้ฉายในโรงภาพยนตร์ และอาจจะถูกโยงเข้าหาประเด็น the higher power ตามคอนเส็ปต์ของค่ายนี้ไป...
ไมเคิล สก็อตต์ หุ้นส่วนผู้ก่อตั้งเพียวฟลิกซ์ บอกว่าเรื่องราวที่ถ้ำหลวงฯ นั้น เขามองว่าเป็นเรื่องราวที่สร้างแรงบันดาลใจอย่างใหญ่หลวงให้กับผู้คน โดยเฉพาะในโลกปัจจุบัน ที่ข่าวสารด้านบวก หรือ positive news มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย..
อย่างไรก็ตาม จนถึงวันนี้ยังไม่มีรายละเอียดใดๆ เกี่ยวกับภาพยนตร์ของค่ายเพียวฟลิกซ์ หลังจากล่าสุดมีข่าวเมื่อต้นเดือนสิงหาคมว่ากำลังหาคนเขียนบทภาพยนตร์อยู่...
และเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็มีข่าวน่าตื่นเต้นปรากฎออกมาว่าเรื่องราวของหมูป่า จะกลายเป็นหนังฟอร์มยักษ์ของค่าย ยูนิเวอร์แซล พิกเจอร์ ด้วย แถมมีรายละเอียดถึงขั้นว่าเป็นผลงานการสร้าง (produce) ของสองโปรดิวเซอร์มือทองอย่าง ไมเคิล เดอ ลูกา และ ดาน่า บรูเน็ตตี้ อีกด้วย
ถือว่าเป็น “เรื่องใหญ่” เพราะชื่อของ ไมเคิล เดอ ลูกา คือ “บิ๊กเนม” ของอุตสาหกรรมภาพยนตร์อเมริกัน เขาสร้างหนังดังๆ มาเยอะแยะมากมาย รวมถึงไตรภาคของ Fifty Shades of Grey อีกทั้งมีผลงานได้เข้าชิง “ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม” รางวัลออสก้าร์ถึงสามเรื่อง คือ The Social Network (2010), MoneyBall (2011) และ Captain Phillips (2013) ด้วย...
กระซิบว่าสองในสามเรื่องที่ว่า เป็นภาพยนตร์แบบ Docudrama หรือดราม่าที่สร้างจากเหตุการณ์จริงด้วย คือ The Social Network และ Captain Phillips แสดงให้เห็นว่าผู้สร้างคนนี้เชี่ยวชาญพอตัวทีเดียวในการนำเอาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์...
ย้อนหลังไปในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา สยามทาวน์ยูเอส เคยนำเสนอข่าว “เอเยนต์ดังจากฮอลลีวูด ขอดูแลผลประโยชน์’หมู่ป่า’ โดยอ้างคำให้สัมภาษณ์ของกงสุลใหญ่ฯ ธานี แสงรัตน์ ว่าได้รีบการติดต่อต่อจาก แมทท์ เดลเพียโน่ (Matt DelPiano) แห่ง ครีเอทีฟ ทาแลนซ์ เอเจนซี่ ขอเข้าพบเพื่อให้ช่วยประสานงานกับผู้เกี่ยวข้องกับปฏิบัติการกู้ภัยหมู่ป่าที่เมืองไทยให้ ก่อนที่เขาจะเดินทางไปคุยด้วยตัวเอง
ล่าสุด ข่าวของ วาไรตี บอกว่าทางยูนิเวอร์แซล พิกเจอร์ บอกว่าทางสตูดิได้ลิขสิทธิ์เรื่องราวชีวิต หรือ life rights ของโค้ชเอก (เอกพล จันทะวงษ์), ดร.ริชาร์ด แฮร์ริส, ดร.เกร็ก ชาลเลน (สองนักดำนำ้) และเด็กๆ ในทีมหมูป่าทั้ง 12 คน สำหรับสร้างเป็นภาพยนตร์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว... โดยให้เครดิตกับ แมทท์ เดลเพียโน่ ที่เดินทางไปไล่ล่าลิขสิทธิ์ดังกล่าวมาจนสำคัญ ทั้งที่เมืองไทยและออสเตรเลีย
แต่เนื้อข่าวที่ยูนิเวอร์แซล พิกเจอร์ แถลงออกมานั้น ระบุชื่อของบุคคลที่เกี่ยวข้องเพียงเท่านี้ ไม่มีชื่อของ “พระเอก” ในหัวใจคนไทยอย่างผู้ว่าฯ ณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร หรือ พ.ท.นพ.ภาคย์ โลหารชุน และเหล่าฮีโร่ไทยอีกหลายๆ คน...
แต่เดา (แบบคนมองโลกในแง่ดี) ว่าคงได้มาเรียบร้อยครบถ้วนแล้วเช่นกัน คงไม่ทิ้งให้ฮีโร่คนไทยทั้งหลายให้เป็นเพียงแค่ “ตัวประกอบ” หรอกน่า...
แต่ใน “ข่าวแจก” ของยูนิเวอร์แซล พิกเจอร์ ฉบับนี้ ก็นำมาซึ่งความ “กังวล” ให้คนมองโลกในแง่ดีอย่างเราพอสมควร เพราะมีการโค้ดคำพูดของ ไมเคิล เดอ ลูกา เอาไว้ค่อนข้างชัดเจนว่า เขาจะชูเรื่องราวของสองนักดำน้ำผิวขาว คือ หมอริชาร์ด แฮร์ริส (อเมริกัน-ออสเตรเลีย) หมอเกร็ก ชาลเลน (ออสเตรเลีย) เป็นแกนเรื่อง...
“เราก็เหมือนกับคนจำนวนมากที่เฝ้าดูปฏิบัติการกู้ภัยนี้อย่างใกล้ชิดในช่วงที่ผ่านมา เรารู้สึกหวาดกลัวไปกับความพยายามแบบวีรบุรุษของนักดำน้ำทุกคน และรู้สึกโล่งใจเมื่อพวกเขาสามารถนำเด็กๆ นักฟุตบอลทั้งทีม รวมถึงโค้ช ออกมาได้อย่างปลอดภัย เรารู้สึกตื่นเต้นดีใจกับโอกาสในการบอกเล่าเรื่องราวอันน่าอัศจรรย์นี้ให้ทั้งโลกได้รับรู้...”
เอาละสิ...
เป็นเรื่องปกติ ที่ผู้สร้างภาพยนตร์จะต้องหาวิธีนำเสนอ ที่พวกเขาคิดว่าจะเป็นที่สนใจของผู้ชมที่เป็นกลุ่มเป้าหมายใหญ่ที่สุด นั้นคือชาวอเมริกัน... เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสการมีผลกำไรจากภาพยนตร์ที่ผลิตออกมา
เรื่องราวอันน่าประทับใจของปฏิบัติการช่วยเหลือหมู่ป่าติดถ้ำนั้น แม้ว่าจะเป็นที่สนใจของผู้คนทั่วโลกมากแค่ไหนก็ตาม แต่ก็ไม่ได้เป็นเครื่องการันตีว่าเมื่อกลายมาเป็นภาพยนตร์แล้ว ความสนใจของคนทั่วโลกจะติดตามมาด้วย... โดยเฉพาะภาพยนตร์ที่ตามหลังออกมาหลังจากเหตุการณ์ผ่านพ้นไปแล้วนานนับปี
เห็นได้จากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ฮอลลีวูดได้หยิบเอาเหตุการณ์จริงที่ผู้คนทั่วโลกให้ความสนใจมาสร้างเป็นภาพยนตร์มากมายหลายเรื่อง ถึงขั้นมีคำศัพท์สำหรับภาพยนตร์แนวนี้ว่า Ripped-from headlines movie... แต่เท่าที่เราตรวจสอบดู (จาก boxofficemojo) พบว่ามีภาพยนตร์แนวนี้น้อยมากที่ประสบความสำเร็จ หรือเป็นที่สนใจของผู้คนที่เคยเกาะทีวีดูข่าวอย่างจดจ่อมาเมื่อก่อนหน้านั้น
ที่พอจะเรียกได้ว่าประสบความสำเร็จได้เต็มปากเต็มคำ ก็มีเพียงหนังของ ทอม แฮงค์ สองเรื่อง คือ Captain Phillips (2013) กับ Sully (2016)
เรื่องแรก ทอม แฮงค์ รับบทเป็นกัปตันเรือสินค้าที่ต้องรับมือกับเหตุการณ์โจรสลัดโซมาเลีย เรื่องนี้ทำเงินทั่วโลกได้ 218 ล้านดอลลาร์ จากทุนสร้างเพียงแค่ 55 ล้าน แถมได้ชิงรางวัลออสก้าร์หลายตัว ส่วนเรื่องที่สอง ทอม แฮงค์ รับบทเป็นกัปตันเครื่องบินโดยสารของยูเอส แอร์เวย์ ที่ตัดสินใจนำเครื่องบินที่เสียหายเพราะบินชนฝูงห่าน ร่อนลงจอดกลางแม่น้ำฮัดสัน และช่วยชีวิตผู้โดยสารและลูกเรือ 155 ชีวิตให้รอดได้แบบหวุดหวิด ผลงานกำกับของ คลินท์ อีสท์วูด เรื่องนี้ทำเงินทั่วโลกได้กว่า 240 ล้านดอลลาร์
แต่เรื่อง The 15:17 To Paris (2018) ที่ปู่คลินท์ นำเอาเหตุการณ์จริงเกี่ยวกับความพยายามของผู้ก่อการร้ายในการก่อวินาศกรรมรถไฟ เมื่อปี 2015 มาสร้างและออกฉายเมื่อต้นปีที่ผ่านมา กลับไม่ประสบความสำเร็จเอาเลย หนังทุน 30 ล้านดอลลาร์เรื่องนี้ ทำเงินได้ราว 57 ล้านดอลลาร์ หักลบค่าทำพีอาร์แล้วก็ถือว่าค่ายวอร์เนอร์ฯ เจ็บตัวพอสมควร
มาถึงเรื่อง 13 Hours: The Secret Soldiers of Benghazi (2016) ผลงานของผู้กำกับหนังฟอร์มยักษ์อย่าง ไมเคิล เบย์ ที่หยิบเอาเหตุการณ์โจมตีสถานกงสุลอเมริกันในกรุงเบนกาซี ประเทศลิเบีย เมื่อปี 2012 มาสร้างเป็นหนังบู๊ฟอร์มยักษ์ ก็ทำเงินทั่วโลกเพียง 69 ล้านดอลลาร์ กลายเป็นหนังของ ไมเคิล เบย์ ที่ทำเงินน้อยที่สุดไป หรือ Deepwater Horizon (2016) หนังฟอร์มใหญ่ของผู้กำกับ ปีเตอร์ เบิร์ค เรื่องราวเกี่ยวกับปฏิบัติการช่วยคนงานฐานขุดจุดน้ำมันที่เกิดระเบิดขึ้นกลางทะเลก็ทำเงินแบบ “ร่อแร่” เพราะลงทุนกว่า 110 ล้าน แต่คืนเงินจากการฉายทั่วโลกได้เพียง 121 ล้านเท่านั้น
ส่วนภาพยนตร์ที่ว่ากันว่าให้อารมณ์และความรู้สึก “ใกล้เคียง” กับเรื่องราวของทีมหมูป่ามากที่สุด อย่างเรื่อง The 33 (2015) ที่หยิบเอาเหตุการณ์เหมืองใต้ดินถล่มในชิลีเมื่อปี 2010 และขังคนงาน 33 คนอยู่ใต้ดินเป็นเวลานานเกือบสองเดือนนั้น... ถือว่าเป็นหนังที่สร้างความผิดหวังมากที่สุด เพราะทำเงินทั่วโลกได้ไม่ถึง 25 ล้านดอลลาร์เท่านั้น....
ภาพยนตร์แนว Ripped-from headlines ที่ว่ามานี้ เกือบทุกเรื่องทำออกมาได้ดี แถมเป็นหนังทุ่มทุนที่สามารถเนรมิตทุกอย่างออกมาได้อย่างสมจริง ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าคุณภาพของตัวภาพยนตร์ ความดราม่า และความโด่งดังของเรื่องราวที่เกิดขึ้น... ไม่ได้เป็นเครื่องชี้วัดว่าเป็นกลายมาเป็นภาพยนตร์แล้วจะประสบความสำเร็จ คืนเงินให้กับนายทุนได้เป็นกอบเป็นกำอย่างที่หวังเสมอไป...
ดังนั้น... อะไรที่น่าจะช่วยให้ภาพยนตร์เกี่ยวกับปฏิบัติการช่วยเหลือหมูป่า “ขายได้” เชื่อว่าบรรดาผู้สร้างย่อมไม่ลังเล...
ที่กลัวๆ กันว่าเรื่องราวเหตุการณ์ที่ถ้ำหลวง จังหวัดเชียงราย ที่คนทั่วโลกจับตาให้ความสนใจกันอย่างมากเมื่อเดือนมิถุนายน-กรกฏาคม จะถูกฮอลลีวูดนำมา “ฟอกขาว” ให้ชาวอเมริกัน หรือคนผิวขาวเป็นพระเอก ส่วนฮีโร่ไทยตัวดำๆ เป็นเพียงตัวประกอบ หรือถึงขั้นดัดแปลงเรื่องราวให้เกินจริงเหมือนอย่างที่หลายฝ่ายกลัวกันนั้น... จึงไม่ใช่ความกลัวที่เกินเลยแต่อย่างใด...