มีพระภิกษุกราบทูลถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ที่พระองค์ตรัสว่า อวิชชา อวิชชา อวิชชา บ่อยๆนั้น หมายความว่าอย่างไร
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสตอบภิกษุรูปนั้นว่า อวิชชา คือ ความไม่รู้ชัดแจ้งในขันธ์ 5 คือ
1 ไม่รู้ชัดแจ้งในรูป การเกิดของรูป การดับของรูป ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับของรูป
2 ไม่รู้ชัดแจ้งในเวทนา การเกิดของเวทนา การดับของเวทนา ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับไปของเวทนา
3 ไม่รู้ชัดแจ้งในสัญญา การเกิดของสัญญา การดับของสัญญา ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับของสัญญา
4 ไม่รู้ชัดแจ้งในสังขาร การเกิดของสังขาร การดับของสังขาร ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับของสังขาร
5 ไม่รู้ชัดแจ้งในวิญญาน การเกิดของวิญญาน การดับของวิญญาน ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับของวิญญาน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงชี้ว่า ผู้ที่ยังไม่รู้แจ้งขันธ์ 5 ด้วยปัญญาอย่างนี้ ย่อมตกอยู่ในอวิชชา คือ ความไม่รู้อยู่เรื่อยไป
ต่อมาภิกษุรูปหนึ่งกราบทูลถามพระองค์อีกว่า ที่พระองค์ตรัสบ่อยๆว่า อวิชชา อวิชชา อวิชชา นั้นมีความหมายแค่ไหนอย่างไร พระองค์ตรัสว่า “ความไม่รู้ชัด ในทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์ และข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ชื่อว่าตกอยู่ในอวิชชา คือ ความไม่รู้”
ได้อ่านพระธรรมเทศนาทั้งสองบทของพระองค์แล้ว สรุปคำนิยามของอวิชชาได้ว่า ความไม่รู้จักขันธ์ ตามกระบวนการอริยสัจ 4 และความไม่รู้จักชัดอริยสัจ 4 คือ อวิชชา ความไม่รู้
อยู่มาวันหนึ่ง พระสารีบุตรพระอัครสาวกเบื้องขวา พระธรรมเสนาบดี เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าถวายบังคมแล้วนั่งอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ของพระองค์ ภิกษุกลุ่มหนึ่งมาเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้ว ถามปัญหาเรื่องอวิชชากับพระสารีบุตร พระพุทธเจ้าทรงมอบหมายให้พระสารีบุตรแสดงธรรมเสมอๆ พระองค์เคยตรัสรับรองว่า ปัญหาที่พระสารีบุตรตอบก็เหมือนกับปัญหาที่พระองค์ตอบ พระสงฆ์เหล่านั้นจึงถามพระสารีบุตรเรื่อง อวิชชา นี้อีก
พระสารีบุตรได้ตอบปัญหาเรื่องอวิชชานี้ไว้อย่างครบถ้วนตามแนวสัจจะที่จะใช้เป็นหลักในการค้นคว้าสัจจะอื่นๆได้อย่างกว้างขวางว่า
ความไม่รู้แจ้งชัดใน ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์และข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ คือ อวิชชา ความไม่รู้
อวิชชาเกิดมาจากเหตุ คือ อาสวะ ได้แก่กิเลสที่หมักหมมประดุจของหมักดอง เมื่อใดอาสวะดับไป อวิชชาก็จะดับลงไปเมื่อนั้น สรุปว่า อาสวะเกิด อวิชชาก็เกิด อาสวะดับ อวิชชาก็ดับ
พระพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งหลายได้บรรลุธรรมเป็นอิสระจากอวิชชา และเหตุแห่งความทุกข์ทั้งปวง ด้วยการบรรลุถึงญาณที่เรียกว่า อาสวักขยญาณ ความรู้พิเศษเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะ เมื่อสิ้นอาสวะก็หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง อาสวะที่พระองค์ทำให้สิ้นไปตามที่ระบุไว้ในปัญญาตรัสรู้ทั่วไปคือ กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ ความลุ่มหลงไม่รู้ตัวอยู่กับความอยากได้อยากครอบครอง สิ่งนั้นสิ่งนี้ ความอยากเป็นนั่น อยากเป็นนี่ ไม่รู้จักหยุดไม่รู้จักพอ กองทับลงไปทุกขณะอย่างแน่นหนา ที่เรียกกันว่ากิเลสหนานั่นแหละ หนาไปด้วยความอยากได้ อยากมี อยากเป็นตะพึดตะพือไปไม่หยุดไม่เว้น เมื่อไม่มีโอกาสฟังธรรมของพระพุทธองค์และพระสาวก ก็ไม่มีโอกาสได้รู้ว่า ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น ที่ทับถมลงไปในจิตใจอย่างไม่รู้ตัวเลย คือ สาเหตุสำคัญที่เป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์น้อยใหญ่ที่เข้ามาสู่ชีวิตอย่างไม่ว่างเว้นหรือเป็นครั้งคราว
เหตุแห่งอวิชชา คือ อาสวะ เมื่อสิ้นอาสวะก็สิ้นอวิชชา เมื่อสิ้นอวิชชา กระบวนการสร้างทุกข์ก็สลายตามไปทันที
ในพระสูตรทั้งหลายที่กล่าวถึงวาระสุดท้ายของการฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วบรรลุอรหันต์ ไม่ว่าจะเป็นพระปัญจวัคคีย์หรือพระยสะและสหายของพระยสะ จะมีคำว่า จิตย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลายเพราะไม่ยึดมั่นถือมั่น
พระสารีบุตรเทศนาต่อไปอีกว่า อริยมรรคมีองค์ 8 อันประกอบด้วย
1 สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง
2 สัมมาสังกัปปะ ความดำริถูกต้อง
3 สัมมาวาจา การพูดจาถูกต้อง
4 สัมมากัมมันตะ การทำงานถูกต้อง
5 สัมมาอาชีวะ การประกอบอาชีพถูกต้อง
6 สัมมาวายามะ ความพากเพียรถูกต้อง
7 สัมมาสติ ความระลึกถูกต้อง
8 สัมมาสมาธิ ความมั่นคงแห่งใจอย่างถูกต้อง
พระสารีบุตรสอนว่า อริยมรรคมีองค์ 8 เหล่านี้ คือ หนทางดำเนินไปสู่ความดับไปแห่งอวิชชา คำสอนของท่านมุ่งเน้นเปลี่ยนแปลงกระบวนการ จากความไม่รู้แจ้งที่เรียกว่า อวิชชา ไปสู่ความรู้แจ้งที่เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ เป็นการเปลี่ยนจากความมืดเป็นแสงสว่าง เปลี่ยนจากความเห็นผิดให้เห็นถูก เมื่อความเห็นถูกนำขบวน ความผิด ตั้งแต่หัวขบวนยันท้ายขบวนก็หายไปทั้งขบวน เหตุแห่งทุกข์หายไปสิ้นพร้อมอวิชชา ทางแห่งความพ้นทุกข์ปรากฏขึ้นทันทีที่สัมมาทิฎฐิปรากฏ ความเปลี่ยนแปลงจากความเห็นผิด เป็นความเห็นถูกตามความเป็นจริงชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องชีวิต เรื่องทุกข์และความไม่ทุกข์นี้ นำความเปลี่ยนแปลงมาสู่ผู้ที่ได้เห็นอย่างใหญ่หลวง มีคุณค่าที่ไม่สามารถจะประเมินได้ จากที่เคยเป็นทุกข์ที่พร้อมจะเป็นทุกข์ได้ทุกเมื่อ จนไม่มีเหลือทุกข์อีก ชีวิตจะล้ำค่าที่เกิดมาเพียงใด ถ้าเข้าถึงความสุขนิรันดร์
สัมมาทิฏฐิและสัมมาสังกัปปะ คือ ปัญญา เมื่อปัญญาปรากฏ อวิชชาก็ต้องหายไปหมดสิ้น เพราะพระพุทธเจ้าตรัสว่า “นัตถิ ปัญญาสมา อาภา แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี” คือ แสงสว่างที่ขจัดความมืดแห่งอวิชชาให้หายไปสิ้นนี่เอง
ความรู้เรื่องอวิชชาสรุปลงมาให้สั้นที่สุด คือ ความไม่รู้เรื่องของชีวิตตามความเป็นจริง ตามหลักแห่งความจริงสูงสุดที่เรียกว่าอริยสัจนั้นเอง พระอริยเจ้าทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน จึงแสดงทางสู่การดับสิ้นแห่งอวิชชาด้วยอริยมรรคมีองค์แปด เป็นการเปลี่ยนชีวิตจากมุมมืด มาสู่มุมสว่างห่างไกลทุกข์ตลอดไปนั่นเอง
วันที่ 14 กันยายน 2561 เวลา 8.46 น.
วัดพุทธปัญญา เมืองโพโมน่า รัฐแคลิฟอร์เนีย