นั่นทำให้บรรดานักกิจกรรมเพื่อชุมชน รวมถึงผู้นำชุมชนหลายคนถึงกับอึ้ง และบ่นเสียดายให้เราได้ยิน เพราะนับนิ้วดูแล้วจะเห็นว่ากงสุลใหญ่ฯ คนนี้ มีเวลาทำงานอยู่เคียงข้างพวกเขาได้เพียงแค่สองปีเท่านั้น
ศรีวงศ์ อาญาสิทธิ ประธานบอร์ดองค์กรไทยนิวเยียร์ สงกรานต์เฟสติวัล บอกกับเราชัดเจนว่ากงสุลใหญ่ฯ ธานี แสงรัตน์ คือกงสุลใหญ่ฯ ที่ทุ่มเทให้กับงานไทยนิวเยียร์เดย์ สงกรานต์เฟสติวัล แบบจริงจังที่สุดเท่าที่เคยจัดงานมา 13 ครั้ง แถมยังเป็นผู้นำที่ลงมือทำเป็นตัวอย่าง ทำให้บรรดาผู้ตามทั้งหลายอยู่นิ่งไม่ได้
“อย่างกวาดถนนในไทยทาวน์เนี่ย ครั้งสุดท้ายมากันถึง 150 คน ไม่เคยปรากฎแบบนี้ ตัวท่านเองบอกว่ามาอยู่นี่ กวาดถนนไปสามเที่ยวแล้ว อยู่บ้านคงไม่เคยกวาด (หัวเราะ) บางครั้งเราก็บ่นนะว่า แหม กงสุลใหญ่ฯ ขยันจัง ทำให้เราเหนื่อย เพราะในเมื่อท่านมีน้ำใจ เราก็ต้องตาม ต้องช่วยกันทำ เพราะฉะนั้นยอมรับว่าพวกเราเสียดาย ทุกคนอยากให้ท่านอยู่ต่อ ยอมรับว่าคิดถึง”
“ฝากถึงกงสุลใหญ่ท่านใหม่ว่าท่านต้องเหนื่อยหน่อยนะคะ เพราะว่าชุมชนไทยที่นี่ชินซะแล้วกับการทำงานไม่หยุดเลยของกงสุลใหญ่ฯ” ศรีวงศ์ อาญาสิทธิ กล่าวแบบขำขำ ปิดท้าย
ด้านจีน่า ปรีชา นายกสมาคมไทยแห่งแคลิฟอร์เนียภาคใต้ ซึ่งเป็นผู้นำชุมชนอีกหนึ่งคนที่ทำงานใกล้ชิดกับกงสุลใหญ่ฯ ธานี แสงรัตน์ บอกว่า “ทึ่ง” ในพลังงานอันล้นเหลือของกงสุลใหญ่ฯ ท่านนี้
“ขนาดที่เจอกันในงานสังคมทุกอาทิตย์ หรือบางอาทิตย์ก็เจอกันสองงาน ท่านขยันมาก หรืออย่างการตอบไลน์ ท่านจะไวมาก มีอะไรท่านเอาข้อมูลมาอัพเดทตลอดเวลา แทบจะทุกชั่วโมง จีน่าทำธุรกิจ จีน่ารู้ว่ามันไม่ง่ายหรอกที่จะคอยดู คอยอัพเดทข้อมูลต่างๆ ตลอดเวลาแบบนั้น แต่ท่านใส่ใจพวกเราจริงๆ ก็ไม่เข้าใจว่าท่านเอาพลังงานมาจากไหนเหมือนกัน”
ระหว่างการให้สัมภาษณ์รายการ “เก้าอี้รับแขก” ของสยามทาวน์ทีวี เมื่อเดือนที่ผ่านมา กงสุลใหญ่ฯ ธานี แสงรัตน์ บอกกับเราว่าท่าน “ได้ยินแว่วๆ” มาตั้งแต่แรกแล้วว่าอาจจะอยู่ปฏิบัติราชการที่นครลอส แอนเจลิส ไม่ครบเทอมสี่ปี (ก็จะได้รับตำแหน่งที่ใหญ่ขึ้น) แต่ท่านไม่ใส่ใจ และตั้งใจว่าจะต้องทำงานให้จริงจัง และเต็มที่ ไม่ว่าจะมีโอกาสทำงานที่นี่กี่ปีก็ตาม
อีกทั้งภาระหน้าที่หลักของกงสุลใหญ่ ณ นครลอส แอนเจลิส คืองานชุมชน ซึ่งถือว่าเป็นงานยาก และท้าทายที่อยากจะลองทำให้ลุล่วง เพราะที่นี่คือชุมชนไทยที่ใหญ่ที่สุดนอกราชอาณาจักร อีกทั้งมีความหลากหลายแตกต่าง ทำอย่างไรถึงจะทำให้เกิดความรัก สามัคคี เพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวม...
นั่นคือแนวคิดเบื้องหลังการทำงานอย่างหนักในช่วงสองปีที่ผ่านมา ผลงานของกงสุลใหญ่ฯ ธานี แสงรัตน์ มีมากมาย เช่นการจับมือกับชุมชนในการดูแลและเร่งรัดให้มีการเก็บกู้ร่างของสองนักศึกษาไทย คือ “น้องมิน” และ “น้องกอล์ฟ” ซึ่งขับรถยนต์ตกเหวทีคิงส์ แคนย่อน อันเป็นปฏิบัติการที่เจ้าหน้าที่ใช้เวลานานกว่าเดือนจึงสำเร็จ, การส่งเสริมและพัฒนาไทยทาวน์ ที่จริงจังถึงขั้นสามารถผลักดันให้มีการสถาปนาสภาไทยทาวน์ ขึ้นมาเป็นรูปธรรม, ผลักดันและสนับสนุนให้เกิดสมาคมนวดไทยและสปาแห่งสหรัฐฯ, ใช้กีฬา โดยเฉพาะฟุตบอล เป็นตัวประสานสังคม มีการแข่งฟุตบอลไทยคอมมูนิตี้คัพ และพัฒนาเป็นไทยซ็อคเกอร์ลีค, ริเริ่มโครงการเสริมศักยภาพของเยาวชนเชื้อสายไทย ทั้งไทยอเมริกันเฟรนชิปส์ และไทยอเมริกันลีดเดอร์ชิป รวมถึงดึงคนไทยรุ่นใหม่ในสาขาอาชีพต่างๆ ให้เข้ามามีส่วนร่วมและผูกพันกับสังคมไทยมากขึ้น, ปรับปรุงศักยภาพการให้บริการของสถานกงสุลใหญ่ฯ ในหลายๆ ด้าน ฯลฯ
โดยทั้งหมดนี้ ท่านทำไปพร้อมๆ กับการสนับสนุมสมาคม ชมรม หรือหน่วยงานที่ขับเคลื่อนชุมชนไทยในนครลอส แอนเจลิส อยู่ก่อนแล้ว เช่นศูนย์พัฒนาสุขภาพชุมชน ศูนย์ส่งเสริมชาวไทย ศูนย์เอเชียนแปซิฟิกเฮลท์แคร์เวนเจอร์ สมาคมทนายความไทยอเมริกัน และศูนย์กฎหมายเอเชี่ยนอเมริกันแอดแวนซิ่งจัสทิส เป็นต้น
ดังนั้น เมื่อถึงเวลาที่ต้องกล่าวคำอำลากับตำแหน่งหน้าที่ ผู้คน รวมถึงงานต่างๆ ที่ได้ริเริ่มและลงมือทำเอาไว้มากมายในช่วงเวลาสองปีเศษๆ ที่ผ่านมา เพื่อเดินทางไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เราจึงอดไม่ได้ที่จะถามถึงความรู้สึกของท่าน
ท่านว่าความรู้สึกห่วงใยนั้นย่อมมี เพราะทำงานแบบคลุกวงในมาตั้งแต่ต้นจึงมีความผูกพัน แต่ท่านค่อนข้างแน่ใจว่าทุกอย่างจะเดินหน้าไปด้วยดี เพราะกงสุลใหญ่ฯ ทุกคนที่ได้รับการคัดสรรให้เดินทางมาปฏิบัติหน้าที่ ย่อมเห็นเหมือนกันว่าสิ่งไหนคือสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชน และจะทำงานให้ดีที่สุด
“แต่ในขณะเดียวกัน ผมคิดว่าชุมชนไทยของเราจะต้องมีวุฒิภาวะมากขึ้น จะต้องเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น พึ่งพาตัวเองให้มากขึ้น ใช้ศักยภาพของตัวเองให้มากขึ้น เราเป็นทรัพย์สมบัติของประเทศ เราต้องเป็นทรัพย์สมบัติของตัวเอง” ท่านบอก
ท่านยกตัวอย่างถึงปัญหาต่างๆ ที่ยังคงเกิดขึ้นและเป็นไปในสังคม เช่นปัญหาในธุรกิจนวดแผนไทย และร้านอาหารไทย ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของพวกเราที่นี่
“เรามีผู้เชี่ยวชาญเรื่องการนวด เรื่องสปาอยู่ทั่วไป ทำไมไม่มารวมกันและทำให้สมาคมของเราเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น ร้านอาหารเรายังมีปัญหาอยู่ จะต้องรวมตัวกันให้เข้มแข็งขึ้น อย่าสภาไทยทาวน์ ทุกคนเห็นประโยชน์ นักธุรกิจเห็นประโยชน์ คนในไทยทาวน์เห็นประโยชน์ และเรามีโครงสร้างไว้แล้ว เราวางถนนเอาไว้แล้ว ตอนนี้ก็แค่เดินหน้าต่อเท่านั้น... ไม่ยึดติดตัวบุคคล”
และแม้จะยังคงมีอะไรอีกเยอะแยะที่ถือว่าเป็นเรื่องน่าห่วงของชุมชนไทยในนครลอส แอนเจลิส แต่ว่าที่ท่านทูต ก็มีความเชื่อมั่นเต็มเปี่ยม ว่าที่สุดแล้วพวกเราจะก้าวผ่านไปได้
“ผมเห็นว่า ในช่วงเวลาสองสามปีที่ผ่านมา คนไทยในสหรัฐฯ สามารถก้าวข้ามความแตกต่างกันได้มากขึ้น หันหน้าหากันมากขึ้น พูดถึงความแตกต่างกันน้อยลง ไม่ใช่แต่เรื่องการเมือง แต่บางทีเรื่องส่วนตัว หรือหลักการทำงานไม่เหมือนกัน เราสามารถก้าวข้ามตรงนี้ได้มากขึ้น ไม่ถือว่าเป็นผลงานของผมหรอกครับ แต่ถือว่าเป็ความดีใจ ดีใจที่คนในแอลเอ ทั้งผู้อาวุโสใสชุมชนไทย และทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องสามารถหันหน้าหากันมากขึ้น”
ซึ่งสิ่งที่เป็นไปในระยะเวลาสองสามปีดังกล่าวนี้ ทำให้กงสุลใหญ่ฯ ธานี แสงรัตน์ มีความเชื่อมั่นในชุมชนไทยของเราที่นี่มากขึ้น
“ผมเชื่อมั่นครับว่าชุมชนไทยเรานี่ จะสามารถทำงานต่อได้อย่างไม่มีตะเข็บ ผมเชื่อว่าชุมชนไทยเราสามารถสานต่อสิ่งที่เราทำอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้น ไม่ต้องพึ่งพาสถานกงสุล ไม่ต้องยึดติดที่ตัวบุคคล หรือนายกสมาคม คนใดคนหนึ่ง ผมหวังว่าเป็นอย่างนั้น ก็ขออนุญาตฝากไว้ด้วยเลยว่า สมาคมไหนที่เข้มแข็งอยู่แล้วก็เข้มแข็งต่อไป สมาคมไหนยังไม่เข้มแข็งก็ต้องเข้มแข็งมากขึ้น ทำงานเพื่อส่วนรวมมากขึ้น ศักยภาพเรามีมากมาย... คนไทยคือทรัพย์สมบัติของประเทศ” ท่านบอกปิดท้าย...