ดูโลก ดูธรรม และดูใจ
โดย ดร.พระมหาจรรยา สุทธิญาโณ เจ้าอาวาสวัดพุทธปัญญา
จิตนำโลก





พระนามของพระพุทธเจ้าในบทสรรเสริญพระพุทธคุณ ที่พุทธศาสนิกชนสวดกันทุกเช้าค่ำ เป็นหนึ่งในพระนามทั้ง 9 ว่า โลกวิทู แปลว่า ผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง ผู้ใฝ่รู้ทั้งหลายได้ตั้งคำถามว่า โลก ในที่นี้หมายความว่าอย่างไร สภาวะที่ทรงรู้แจ้งนั้นเป็นอย่างไร ประเด็นนี้จึงเป็นประเด็นที่น่าจะนำมาสนทนากันตามสมควร


คำว่า โลก ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา หมายถึงสภาวะที่จะต้องแตกสลายเป็นธรรมดา การให้ความหมายเช่นนี้ เป็นการให้ความหมายอย่างครอบคลุมในทุกความหมายของโลกที่มีอยู่ในระบบจักรวาลและธรรมชาติ

พระพุทธศาสนาแบ่งโลกออกเป็น 3 มิติ คือ

1 สังขารโลก หมายถึงสิ่งที่ปรากฏขึ้นมาจากปัจจัยปรุงแต่งทั้งสิ้น สิ่งใด จะน้อยหรือใหญ่ ไม่จำกัดขนาด หากปรากฏขึ้นมาจากปัจจัยปรุงแต่งล้วนเรียกว่า สังขารโลก ได้ทั้งสิ้น
 
2 สัตวโลก หมายถึง มนุษย์และสิ่งมีชีวิตทั้งหลายบนโลกนี้
 
3  โอกาสโลก หมายถึง พื้นโลกทั้งมวล

พระพุทธเจ้าทรงรู้แจ้งว่า โลกทั้งสามมิตินี้ล้วนมีความสลายไปเป็นธรรมดา ตามความหมายของคำว่าโลก ซึ่งแปลว่าแตกสลายไปเป็นธรรมดา หรือโลก ทั้งสามมิตินี้ล้วนตกอยู่ในกฎ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เกิดแล้วดับไป เช่น ในวิชาดาราศาสตร์ นักดาราศาสตร์ทั้งหลายยืนยันว่า ดวงอาทิตย์และดวงดาวต่างๆในจักรวาล ล้วนหนีไม่พ้นการเกิดดับเช่นกัน นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าในอีกประมาณ 5,000 ล้านปีข้างหน้า ดวงอาทิตย์ของเราจะดับ โดยดวงอาทิตย์จะใช้เวลาประมาณ 160 ล้านปีสุดท้ายค่อยๆเย็นลงๆ จนกลายสภาพเป็นดาวแคระขาว (white dwarf) ในที่สุด ดวงอาทิตย์และดวงดาวต่างๆในสุริยะจักรวาลล้วนมีเกิดและดับภายใต้กฎไตรลักษณ์ทั้งนั้น ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ช่วยเป็นพยานในพระธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่องไตรลักษณ์อันเป็นกฎธรรมชาติสูงสุดที่ควบคุมทุกอย่างให้เห็นประจักษ์ชัดยิ่งขึ้น เมื่อ ดวงอาทิตย์ดวงดาวในจักรวาลล้วนต้องยอมจำนนต่อความยิ่งใหญ่แห่งไตรลักษณ์ แล้วนับประสาอะไรกับสังขารโลกและสัตวโลกอื่นๆที่ปัจจัยปรุงแต่งขึ้นมาด้วยความเปราะบางยิ่ง ยากจะรอดพ้นจากอำนาจแห่งกฎไตรลักษณ์นี้ไปได้ เพราะสรรพสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง

หากเราจะย่นย่อกรอบของการพิจารณาเรื่องโลกให้แคบลงเฉพาะโลกคือ แผ่นดินที่เราอาศัยอยู่นี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า  “จิตฺเตน นียติ โลโก โลกอันจิตนำไป” ล้วนเป็นความจริงที่ประจักษ์อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ในอดีตกาลที่ผ่านมาหนึ่งศตวรรษ มนุษย์ต้องเผชิญสงครามหลายรูปแบบ ที่สร้างความเจ็บปวดให้แก่มนุษยชาติทั่วหน้า สงครามนี้ก็มาจากจิตที่คิดผิดนี้เอง
   
เมื่อผู้นำของโลก ที่มีเงิน มีอำนาจ มีอาวุธ มีกองกำลัง มีเสบียงอาหารพรั่งพร้อม มีจิตที่ประกอบไปด้วยความโกรธบ้าง ความโลภบ้าง ความหลงบ้าง จิตที่เลวร้ายชอบความรุนแรงเต็มไปด้วยความเกลียดชัง สั่งกายให้จับอาวุธขึ้นทำร้ายคนอื่นให้บาดเจ็บล้มตายวอดวายไปนับไม่ถ้วน สงครามระหว่างเผ่า สงครามแก่งแย่งพื้นที่ทำกิน สงครามระหว่างชาติ สงครามศาสนาตลอดถึงสงครามโลกล้วนมาจากใจที่เลวร้ายของผู้นำทั้งสิ้น
   
เมื่อสงครามการเข่นฆ่าในภูมิภาคต่างๆเบาบางลง มนุษย์มีเวลาแสวงหาความรู้ สร้างสรรค์สิ่งต่างๆเพื่ออำนวยความสะดวกแก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ความเจริญด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อใจมนุษย์ยังมีความโลภบ้าง ความโกรธบ้าง และความหลงอยู่อย่างครบครัน มนุษย์ก็มุ่งทำลายทรัพยากรธรรมชาติของโลก เพื่อนำมาสร้างผลผลิตให้แก่ตน ความโลภขับเคลื่อนจิตใจ จิตใจขับเคลื่อนกายให้ผลิตสิ่งต่างๆออกมา ต้องทำลายทรัพยากรธรรมชาติอย่างมากมาย เพื่อตอบสนองความโลภ ผู้มั่งคั่งทั้งหลายต่างแข่งขันกันครอบครองข้าวของเงินทอง โดยสมมติกันว่า ใครสามารถครอบครองทรัพยากรของโลกได้คนนั้นมีความสามารถสูง

เมื่อเราผ่านพ้นวิกฤตการณ์ โลกที่เต็มไปด้วยการรบราฆ่าฟัน  เราก็มาเผชิญ ปัญหาใหม่ที่ทุกคนเริ่มตื่นและตระหนักรู้ว่า ขณะนี้ปัญหาโลกร้อนกำลังทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น เพราะมนุษย์พากันทำลายทรัพยากรของโลกอย่างไม่หยุดยั้งจนกระทั่งธาตุสี่ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม อันเป็นส่วนประกอบสำคัญที่ทำให้ความเป็นไปของโลกสวยงามและสมดุลย์ กลายเป็นโลกที่ เสียดุลและอัปลักษณ์ขึ้นทุกวัน ความทุกข์ยากต่างๆจะทยอยเข้ามาหามนุษย์เอง เพราะมนุษย์อาศัยธาตุสี่เป็นหลักในการครองชีวิต เมื่อธาตุสี่ประสบกับปัญหามลพิษรอบด้าน คุณภาพของธาตุสี่ที่เข้ามาหล่อเลี้ยงร่างกายก็ด้อยคุณภาพลง คุณภาพชีวิตของมนุษย์ก็พลอยด้อยลงไปด้วย

นี่ก็พอจะชี้ให้เห็นว่า โลกจะสดสวยและสดใส หรือ จะอัปลักษณ์หม่นหมองอย่างไร ล้วนอยู่ที่จิตของมนุษย์จะนำไปจริงๆ

หากวันนี้มนุษย์ตระหนักแล้วว่า ขืนให้ความโลภ ความโกรธและความหลง นำชีวิตไปทำลายโลกเพื่อตอบสนองกิเลสตนเอง ไม่ช้าไม่นาน ทั้งโลกและผู้อาศัยโลกจะพากันย่ำแย่อย่างทั่วหน้า เปลี่ยนจิตเสียใหม่ ให้เป็นจิตที่ความโลภลดลง เพิ่มความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้มากขึ้น ลดการแข่งขันแบบเอาเป็นเอาตายลง กลับมาแบ่งปันกันให้มากขึ้น  ลดความฟุ่มเฟือยทั้งหลายที่ต้องทำลายทรัพยากรลง ใช้สอยทรัพยากรทุกชนิดอย่างพอเพียงตามความจำเป็นแก่การดำรงชีวิต ลดความคิดที่จะเอาชนะธรรมชาติอย่างผิดๆแล้วเปลี่ยนความคิดมาเป็นเกลอกับธรรมชาติ หรือเข้าใจตรงกันว่า ธรรมชาติ ชีวิตและสิ่งแวดล้อมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เมื่อสิ่งหนึ่งดีสิ่งหนึ่งก็ดีตามไปด้วย เมื่อสิ่งหนึ่งเลวร้าย อีกสิ่งหนึ่งก็ต้องเลวร้ายตามไปด้วยกันเพราะนี่คือ ระบบอิทัปปัจจยตา ที่สรรพสิ่งต่างอาศัยกันและกันเกิดขึ้น หรือเสื่อมไป

 คติธรรมที่ว่า “เมตตาธรรมค้ำจุนโลก” เป็นคติธรรมที่เหมาะสมเพื่อการสร้างโลกใหม่ที่เต็มไปด้วยความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และเชื่อมโยงเข้าหากันอย่างแนบแน่นสนิทระหว่าง สิ่งมีชีวิตทั้งหลาย มนุษย์และสิ่งแวดล้อม เมตตาธรรมคือ โซ่ทองที่จะคล้อง สังขารโลก โอกาสโลก และสัตวโลก ให้เดินไปด้วยกันอย่าสมดุลย์ ต่างฝ่ายต่างอำนวยคุณประโยชน์แก่กันและกัน เมื่อถึงวันนั้น ความฝันที่ว่า โลกสวยด้วยเมตตาธรรม คงจะเป็นความจริงได้ไม่ยากนัก

หากปรารถนาให้โลกสวยและมีสันติสุข จงกล้าเติมเมตตาลงในจิต  รักสัตว์ทั้งหลาย รักผืนดิน แผ่นน้ำ ผืนป่า ทะเล มหาสมุทร อากาศ รักโลก และสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกด้วยความเข้าใจอย่างถูกต้องว่า ทุกสิ่งเชื่อมโยงสัมพันธ์กับเราทั้งสิ้น ถ้าเรารักชีวิตของเราแค่ไหน ก็จงรักสิ่งแวดล้อมเช่นนั้นเหมือนกัน เพราะสิ่งแวดล้อมกับชีวิตของเราเป็นหนึ่งเดียวกัน จิตที่ดีย่อมนำโลกนี้ไปสู่ความสวยงามอุดมสมบูรณ์ตามที่ปรารถนา ตามพระพุทธภาษิตว่า “โลกนี้อันจิตนำไป” นั่นแล.

วันที่ 16 สิงหาคม 2561 เวลา 3.49 น.
วัดพุทธปัญญา เมืองโพโมน่า รัฐแคลิฟอร์เนีย

 




นำเสนอข่าวโดย : ภาณุพล รักแต่งาม,
แหล่งที่มาข่าวโดย : สยามทาวน์ยูเอส
12-07-2022 บันทึกไว้สมัยเรียนบาลี : ตอนที่ 50 สุดทางสายบาลี (0/2823) 
06-07-2022 บันทึกไว้สมัยเรียนบาลี : ตอนที่ 49 ฝึกฝนตนที่วัดชลประทานรังสฤษฎ์ (0/656) 
28-06-2022 บันทึกไว้สมัยเรียนบาลี : ตอนที่ 48 สอบได้แต่แม่เสีย (0/622) 
20-06-2022 บันทึกไว้สมัยเรียนบาลี : ตอนที่ 47 สอบเปรียญธรรม 7 ประโยคได้ (0/687) 
07-06-2022 บันทึกไว้สมัยเรียนบาลี : ตอนที่ 46 กราบหลวงพ่อปัญญานันทะ (0/676) 

แสดงความคิดเห็น

Name :

Detail :




ฉบับที่
599
siamtownus newspaper








Hots Clip VDO ดูทั้งหมด

ขออภัยสัญญาณ VDO มีปัญหากำลังดำเนินการแก้ไข