รอยเตอร์/อิปซอสสอบถามผู้ลงทะเบียนใช้สิทธิเลือกตั้งทั่วสหรัฐจำนวน 1,011 คน ในจำนวนนี้เป็นรีพับลิกัน 453 คน และเดโมแครต 399 คน หลังการประชุมสุดยอดที่ฟินแลนด์เมื่อวันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคมผ่านมา ผู้ตอบร้อยละ 55 ไม่พอใจวิธีที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ดำเนินความสัมพันธ์กับรัสเซีย ร้อยละ 37 พอใจ หากดูเฉพาะชาวรีพับลิกัน ความพอใจสูงถึงร้อยละ 71 เทียบกับชาวเดโมแครตที่พอใจเพียงร้อยละ 14 อย่างไรก็ดี คะแนนความพึงพอใจการบริหารประเทศของทรัมป์ในภาพรวมยังคงไม่เปลี่ยนแปลง โดยอยู่ที่ร้อยละ 42 พอๆกับคะแนนเฉลี่ยของเดือนนี้ที่ร้อยละ 40-44

ผู้ตอบร้อยละ 59 เห็นด้วยกับข้อสรุปของหน่วยข่าวกรองสหรัฐที่ว่ารัสเซียพยายามที่จะมีอิทธิพลต่อการเลือกตั้งสหรัฐ หากแยกดูตามกลุ่มพบว่า ชาวรีพับลิกันเชื่อเพียงร้อยละ 32 ชาวเดโมแครตเชื่อมากถึงร้อยละ 84 ผู้ตอบร้อยละ 38 เห็นว่ารัสเซียเป็นศัตรูของสหรัฐ ร้อยละ 38 เห็นว่าเป็นคู่แข่ง และร้อยละ 8 เห็นว่าเป็นมิตร ชาวเดโมแครตครึ่งหนึ่งและชาวรีพับลิกัน 1 ใน 3 เห็นว่ารัสเซียเป็นศัตรู ผู้ตอบร้อยละ 52 เชื่อว่าทรัมป์หรือคนในคณะหาเสียงของเขาร่วมกับรัสเซียพยายามมีอิทธิพลต่อการเลือกตั้งสหรัฐปี 2559 ชาวเดโมแครตเชื่อถึงร้อยละ 81 ขณะที่ชาวรีพับลิกันเชื่อเพียงร้อยละ 19

ขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์พยายามกอบกู้สถานการณ์การเมืองภายในประเทศที่เกิดกระแสวิจารณ์อย่างหนักหลังจากพบกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ต่อกรณีที่เขายอมรับว่ารัสเซียไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2559 โดยทรัมป์กล่าวว่าเขาพูดผิด ในความเป็นจริงเขาควรพูดว่าไม่มีเหตุผลที่จะไม่ใช่รัสเซีย ซึ่งเป็นประโยคปฏิเสธซ้อนปฏิเสธ แต่ตอนแถลงข่าวกลับพูดออกไปว่าไม่มีเหตุผลที่จะเป็นรัสเซีย

นอกจากนั้นประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่า มีความเชื่อมั่นและสนับสนุนการทำงานของหน่วยข่าวกรองสหรัฐ แต่ในเวลาเดียวกันกลับกล่าวเสริมว่า พฤติการณ์ของรัสเซียไม่มีผลต่อผลการเลือกตั้ง และน่าจะมีบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ชาวรัสเซียเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

ท่าทีดังกล่าวของผู้นำสหรัฐไม่ได้กอบกู้สถานการณ์ให้ดีขึ้น โดยคณะกรรมาธิการวิเทศสัมพันธ์ของวุฒิสภาสหรัฐเชิญนายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีต่างประเทศ เข้าพบในวันที่ 25 กรกฎาคมนี้ เพื่อชี้แจงเกี่ยวกับการประชุมระหว่างผู้นำสหรัฐกับประธานาธิบดีปูตินที่กรุงเฮลซิงกิ และการเยือนกรุงเปียงยางของนายปอมเปโอเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

วันเดียวกัน มีรายงานข่าวว่าทำเนียบขาว กำลังพยายามควบคุมความเสียหายหลังเกิดความไม่พอใจอย่างมากต่อการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แถลงข่าวร่วมกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย หลังเสร็จสิ้นการประชุมสุดยอดครั้งแรกระหว่างผู้นำทั้งสอง โดยออกมาปฏิเสธว่าทรัมป์ไม่ได้พูดว่ารัสเซียไม่ได้พุ่งเป้ามาที่สหรัฐอีกต่อไป

ทั้งนี้ ทรัมป์ได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวหลังการประชุมร่วมกับคณะรัฐมนตรีที่ทำเนียบขาวที่ถามว่า รัสเซียยังคงพุ่งเป้าเล่นงานสหรัฐหรือไม่ โดยทรัมป์ได้มองไปที่ผู้สื่อข่าวพร้อมกับสั่นหน้าและบอกว่าไม่
หลังการแถลงข่าวเพียงไม่นาน นางซารา เซนแดอร์ส โฆษกทำเนียบขาวต้องออกมาชี้แจงว่า ประธานาธิบดีทรัมป์บอกว่าไม่ หมายถึงการปฏิเสธที่จะตอบคำถามนี้ ซึ่งไม่ใช่การตอบข้อซักถามดังกล่าวแต่อย่างใด

ทั้งนี้ ทรัมป์ต้องเผชิญกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหลังออกมาแถลงข่าวร่วมกับปูติน โดยบางช่วงบางตอนของการให้สัมภาษณ์มีการพูดแสดงความเชื่อถือต่อคำอธิบายของผู้นำรัสเซียมากกว่าหน่วยงานข่าวกรองของสหรัฐ ว่ารัสเซียไม่ได้เข้ามาแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเมื่อปี 2559 จนทรัมป์ต้องพยายามออกมาแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากการกระทำของตนเอง โดยอ้างว่าเขาไม่ได้หมายความอย่างที่คนทั่วไปเข้าใจกัน แต่เป็นการพูดผิดระหว่างแถลงข่าวเท่านั้น