ชาวบ้านหลายๆตำบลตั้งอยู่รอบๆวัดอันร่มรื่นแห่งนี้ เมื่อถึงวันพระ 8 ค่ำ 15 ค่ำ ทั้งข้างขึ้นข้างแรม ชาวบ้านเหล่านี้ก็พากันเดินทางมาที่วัดแห่งนี้เพื่อถวายทาน สมาทานศีลและเจริญภาวนาอยู่เป็นประจำ เมื่อเสร็จจากการทำบุญในบุญกิริยาวัตถุแล้ว ต่างช่วยกันปัดกวาดทำความสะอาดเสนาสนะ ทั้งภายนอกและภายในถ้ำให้สะอาดน่ารื่นรมย์ตามความหมายแห่งอาราม
วันหนึ่ง เมื่อพระภิกษุทั้ง 7 รูปที่เดินทางรอนแรมมาเป็นเวลาหลายวัน ครั้นเห็นวัดอันร่มรื่นแห่งนี้ ก็เดินเข้าไปพบกับเจ้าอาวาส แล้วขอพักสักคืนหนึ่ง เจ้าอาวาสผู้หนักแน่นในการปฏิสันถารได้ต้อนรับด้วยความสบายใจ ถวายน้ำฉันและน้ำปานะจนเป็นที่ผ่อนคลายแล้วนิมนต์ให้อาบน้ำ เมื่อสนทนาจนทราบว่า พระภิกษุทั้ง 7 รูปจะไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ชื่นชมโสมนัสยิ่งนัก
ตามปกติพระสงฆ์ที่วัดนี้จะพักกันภายนอกถ้ำ แต่ถ้าต้องการปลีกวิเวกเป็นการชั่วครั้งชั่วคราวก็จะมีเตียงสำหรับจำวัดภายในถ้ำอย่างพอเพียง วันนั้นจึงจัดที่พักในถ้ำถวายแก่พระภิกษุอาคันตุกะที่เดินทางไกลมาเหล่านั้น
พระภิกษุทั้งหลายจึงเดินทางเข้าไปในถ้ำแล้วจำวัดหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย ดึกสงัดตื่นขึ้นมา มองไปยังปากถ้ำ หินก้อนใหญ่กลิ้งลงมาปิดปากถ้ำไว้สนิท ช่วยกันออกแรงผลักหินนั้นทันที จะผลักเท่าไรหินก้อนใหญ่นั้นก็ไม่ขยับเขยื้อนเลย ภิกษุทั้ง 7 รูป อดข้าวอดน้ำ ได้แต่เจริญสมาธิภาวนาอยู่ข้างในถ้ำด้วยความรำพึงถึงกรรมของตนว่า
“กรรมนี้ของพวกเราหนักจริงๆ ไม่มีใครจะทราบได้ว่า กรรมเก่าใดๆที่ส่งผลให้ต้องมาเป็นเช่นนี้”
ฝ่ายพระภิกษุสงฆ์เจ้าถิ่นและเจ้าอาวาสต่างปรึกษากันว่า จะต้องนำหินก้อนใหญ่นั้นออกจากปากถ้ำแล้ว พระภิกษุทั้ง 7 รูปที่พักอยู่ภายในถ้ำจะต้องออกมาอย่างปลอดภัย จึงระดมกำลังพุทธศาสนิกชนจาก 7 ตำบลทั้งที่ตั้งอยู่รอบๆและห่างไกลออกไปจากวัดให้มาช่วยกันนำหินก้อนใหญ่นั้นออกไปจากปากถ้ำ แต่พยายามช่วยกันทุกวิถีทางตั้งแต่เช้าจนเย็น หินก้อนนั้นก็ไม่ขยับเขยื้อน แม้จะพยายามแล้วพยายามอีกทั้งวันทั้งคืน หินก้อนใหญ่ก็ยังคงปิดปากถ้ำอยู่เหมือนเดิม
พอถึงวันที่ 7 เมื่อชาวบ้านและพระสงฆ์ทั้งหลายตื่นขึ้นมาด้วยตั้งใจว่าจะช่วยกันผลักหินออกจากปากถ้ำอีก แต่เมื่อมาถึงปากถ้ำหินก้อนใหญ่นั้น กลิ้งออกไปได้เอง ปากถ้ำก็ถูกเปิดออกให้พระภิกษุสงฆ์และอุบาสกอุบาสิกาเข้าไปได้เหมือนเดิม พระภิกษุสงฆ์เจ้าถิ่นและอุบาสกอุบาสิกาต่างรีบเข้าไปหาพระภิกษุทั้ง 7 รูปโดยเร็ว เมื่อเข้าไปถึงถ้ำก็เห็นท่านนั่งอยู่ด้วยความอ่อนเพลีย เมื่อออกมาจากถ้ำฉันภัตตาหารและน้ำจนมีกำลังแล้ว จึงกล่าวอำลาพระภิกษุสงฆ์เจ้าถิ่นเดินทางไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยความตั้งใจว่า จะนำความเรื่องนี้ไปกราบทูลถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ปรากฏการณ์ครั้งนี้มาจากวิบากกรรมอะไร
พระภิกษุกลุ่มนั้นได้เดินทางรอนแรมไปอีกหลายวัน ก็ถึงอารามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ ครั้นพักผ่อนพอคลายเมื่อยล้าแล้ว จึงชวนกันไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วกราบทูลเรื่องราวที่ได้พบมาระหว่างทางให้พระองค์ทรงทราบ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงนำวิบากแห่งกรรมเก่าของภิกษุเหล่านั้นมาเล่าให้ฟังว่า เด็กเลี้ยงวัวชาวพาราณสี 7 คนต้อนวัวไปกินหญ้าอยู่ในท้องทุ่งริมป่าใหญ่หลายๆ แห่ง วนเวียนกันไปคราวละ 7 วัน แล้วย้ายไปที่อื่นๆ ที่มีหญ้างอกงามเช่นนั้นเรื่อยๆ ไป
อยู่มาวันหนึ่ง เด็กเลี้ยงวัวทั้ง 7 คนนั้น นำวัวไปเลี้ยงที่ท้องทุ่งแห่งหนึ่ง ขณะที่ปล่อยวัวให้และเล็มหญ้าอยู่นั้นเห็นเหี้ยตัวหนึ่งวิ่งผ่านมา ด้วยความคึกคะนองเด็กทั้ง 7 คนนั้นพากันไล่ล่าเหี้ยตัวนั้น เมื่อเหี้ยตัวนั้นถูกเด็กๆไล่ล่าอย่างไม่ลดละ ก็วิ่งเข้าไปในจอมปลวกแห่งหนึ่ง จอมปลวกนั้นมีช่องทางเข้าออก 7 ช่อง เด็กๆจะใช้ไม้แหย่อย่างไร เหี้ยก็หลบเลี่ยงไปมาจนเย็น ก็ไม่สามารถจะจับเหี้ยได้ จึงคิดกันว่า วันนี้เย็นแล้ว ควรนำใบไม้กิ่งไม้มาปิดช่องทางทั้ง 7 ช่องไว้ก่อนดีกว่า วันรุ่งขึ้นค่อยมาตามล่ากันใหม่
เย็นวันนั้นเด็กเลี้ยงวัวทั้ง 7 คนกลับไปแล้ว พอวันรุ่งขึ้นก็นำวัวไปกินหญ้าในท้องทุ่งถิ่นอื่น ไม่ได้ผ่านมาทางจอมปลวกที่เหี้ยติดอยู่นั้นถึง 6 วันพอวันที่ 7 เด็กเลี้ยงวัวกลุ่มนั้นก็ต้อนวัวกลับมายังท้องทุ่งที่เหี้ยติดอยู่นั้น พอเด็กๆเหล่านั้นเดินผ่านจอมปลวกก็นึกขึ้นได้ว่า พวกตนได้อุดเหี้ยไว้ 7 วันแล้วจึงรีบไปดู เมื่อเปิดช่องทั้ง 7 ออก เหี้ยคลานออกมาด้วยความอ่อนเพลีย เด็กๆเห็นแล้วสงสารยิ่งจึงปรึกษากันว่า
“น่าสงสาร มันอดอาหารมาตั้งเจ็ดวันแล้ว ปล่อยไปเถิดอย่าทำร้ายมันเลย”
ครั้นกล่าวจบพากันลูบหลังเหี้ยตัวนั้นด้วยความเอ็นดูแล้วบอกว่า
“เจ้าจงไปให้สบายเถิดนะ” แล้วเหี้ยก็คลานหายเข้าไปในป่า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสรุปตอนจบว่า เด็กเหล่านั้นจากโลกนี้ไปแล้ว ไม่ต้องตกนรกเพราะไม่ได้ฆ่าเหี้ย แต่เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ วิบากกรรมนั้นทำให้ต้องอดอาหารนานถึง 7 วันเช่นนั้นถึง 14 ชาติด้วยกัน พระภิกษุเหล่านั้นได้ทราบผลกรรมของตนจึงสำรวมระวังไม่สร้างกรรมเช่นนั้นอีกตลอดไป พระภิกษุหลายรูปที่บารมีแก่กล้าแล้ว เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมจบลงได้บรรลุอริยมรรคอริยผลมีพระโสดาบันเป็นต้น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสสรุปเรื่องการให้ผลของกรรมเอาไว้ว่า
“ใครทำกรรมไม่ดีไว้ หนีไปแล้วในอากาศ หนีไปในมหาสมุทร หนีเข้าไปอยู่ในซอกเขา ก็ไม่พ้นจากกรรมชั่วได้ เพราะไม่มีสถานที่ใดๆที่จะหลบภัยจากผลแห่งกรรมที่กระทำแล้วได้เลย”
วันที่ 15 กรกฎาคม 2561 เวลา 04.50 น.
วัดพุทธปัญญา เมืองโพโมน่า รัฐแคลิฟอร์เนีย